Sunday, December 28, 2014

บทความตอนที่ 10: สมาธิ ทำต่อเนื่องสักหลายปี ดีอย่างไร

สวัสดีครับ

       การทำสมาธิ มีผลดีแน่ และถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างแรง ในการมีอายุยืนยาว สำหรับคนปกติ ที่เกิดและเติบโต แก่ และ จากโลกนี้ไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะสำหรับ พระในศาสนาพุทธ ทำไม? ก็จากการที่ เราจะเห็นว่า พระในพระพุทธศาสนานั้น มีอายุ เกิน 80 กันมากมายจริงๆ และ กี่ยุคกี่สมัย ก็มีพระที่อายุเกิน 90 ปี เป็นจำนวนมาก

        ผมมั่นใจในคำกล่าวนี้ไหม มั่นใจมาก เพราะผมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ครับ อ่านมาตั้งแต่เด็กๆ และพบข่าว พระพรรษาสูงๆ อายุรวม 80-90 ปี ตลอดเวลา บางทีก็มี เกินร้อย ปรากฎให้เห็น ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือพิมพ์มา ตั้งแต่ผมเด็กๆ จนตอนนี้ อายุ 40 ต้น ก็ยังได้เห็น แบบนี้ไม่เรียกว่าเยอะได้หรือ

        อีกหลายประการเช่น การกินมื้อเดียว หรือ สองมือ การมีชีวิตอยู่ในพระธรรมวินัย และอื่นๆ รวมเข้าก็ทำให้อายุยืนครับ ผมเชื่อแบบนั้น

        สำหรับสมาธิ ผมจึงเชื่อว่า เป็นทางที่ใช่ในการ ทำให้อายุยืนครับ

       หากเราไปอ่านหนังสือ หรือ ติดตามสื่อต่างๆ ทั้งไทยเทศ เราจะพบว่า ฝรั่งเขาล้ำไปกว่า คนเอเชียไปหลายสิบปี ตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 หรือยุคของ เดอะร์บีทเทิล ฝรั่งไม่ใช่มีแต่การเข้ายิมออกกำลังกายนะครับ เขามีการออกกำลังจิตมาตั้งแต่นั้น มีหนังสือ คุณภาพสูงแนว โยคะ และ สมาธิ มาตั้งแต่นั้น ดังนั้น 50 กว่าปีที่เขา วิเคราะห์วิจัย เรื่อง สมาธิจิต มานาน เขาได้เห็นผลและทำกันเป็นล่ำเป็นสัน กว่าทางเอเชียมานานแล้วครับ ถามว่า โยคะ สมาธิ เป็นสมบัติของใคร ของฝรั่งหรือ??? ไม่ใช่ครับ ของคนเอเชียต่างหาก แต่เราแคร์ไหม???

        อย่างไรก็ตาม มันมีเรื่อง กรรมดี ชั่ว ในปางก่อน และชาติปัจจุบัน นั้นด้วย ที่มาเสริม ในเรื่องอายุครับ อัน ตำราของต่างประเทศ เขาก็ว่าไว้ ซึ่ง คนไทยเราเห็นว่า ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ๆ เพราะศาสนาพุทธอยู่ในไทยมาเป็นพันๆ ปีแล้ว

        ในโลกที่เขาไม่ได้นับถือ ฮินดู พุทธ แต่เขากลับนำส่วนดี ของศาสนาเหล่านี้ ไปใช้ และสร้างคุณภาพชีวิตให้คนของเขาจำนวนมาก นำไปวิจัย เพื่อเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาอธิบาย และก็พบในสิ่งที่องค์ศาสดา หรือ พระเจ้า กล่าวไว้ ทุกประการ

         ฝรั่ง และชาติที่เจริญแล้ว จึงนำทั้งความรู้ และ โอกาสไปพัฒนาชาติของเขากันอย่างจริงจัง แต่เราชาวเอเชียล่ะ สนใจในภูมิปัญญานี้หรือไม่

         เอาล่ะ มาเห็นความสำคัญของการทำสมาธิกัน

      เรามาเริ่มจากการลองเริ่มทำสมาธิ ตามคำแนะนำ ที่ผมรวบรวมมาเขียนย่อๆ ไว้บทความก่อนหน้า เอาแค่ 2 นาทีต่อวัน แต่ให้ประคองไว้ตลอดวันให้ได้ ครับ พอทำแล้วมันดีอย่างไร

     จากประสบการณ์ของผม การทำสมาธิ ต้องขจัดนิวรณ์ 5 คือ ความพยาบาท กามฉันทะ ความห่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย

      และไม่ง่าย สำหรับทุกคน การจะขจัดสิ่งเหล่านี้ได้ ในตอนทำสมาธิ เป็นเหมือนเกมส์ ครับ ค่อยๆ ทำไปไม่ต้องรีบอะไร มันดีกับเรา ทำได้แล้วจะมีแต่ผลดีครับ

       สิ่งที่ได้ผลเมื่อทำสมาธิ สัก พักหนึ่งแล้ว เอากลางๆ นะครับ อาจจะ ครึ่งปี หรือ 1 ปี ไปแล้ว จะเห็นว่ามีอะไรใหม่ ๆเกิดในชีวิตมากมายครับ และแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง ส่วนจิตใจก็จะดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด การทำสมาธิแบบนี้จึงเหมือน การลดน้ำหนักทางจิตวิญญาณ คือ ต้องมีการลงแรงทำครับ แล้วจะเห็นผลเอง

        ประสบการณ์จากคนที่ขยันทำ ก็เช่น คิดทางออกของปัญหาแบบด้านบวกได้ ในขณะทำสมาธิ หรือ ออกจากสมาธิแล้วพอคิดแก้ปัญหาก็ได้หนทางที่ดี หรือดีมาก แบบนี้  บางคนชีวิตเกิดเจริญรุ่งเรือง มาก น้อย แต่มีครับ ผิดจากหลายปีในชีวิตที่ผานมา คงเหมือนกับ

         พืชพันธุ์ เมืองร้อนที่เอาไปปลูก ในประเทศหนาว มันจะขึ้นไม่เต็มที่ แต่พอดี เกิดมีเหตุในมีแสงแดดจัดขึ้นมา ต้นไม้ต้นนั้นก็โตพรวดๆ อะไรแบบนั้น หากเทียบกับคนก็คือ มีคุณความดีมาก แต่อยู่ผิดที่ ผิดทาง มีกรรมอกุศลกันเอาไว้  แต่พอทำสมาธิ ซึ่งเมื่อทำบ่อยๆ จะให้ผลมาก ก็เหมือน ได้กรรมที่เป็นกุศลเข้ามาช่วย เปิดทาง ซึ่งพอเปิดได้แล้ว เมล็ดคุณสมบัติดีๆ ก็ได้แสงแห่งธรรมทำให้เติบโตได้ในที่สุด

           รู้แบบนี้แล้วยังไม่ทำสมาธิกันอีกหรือ ลองหาตำรามาอ่านกันครับ คนที่ทำอานาปนสติ หรือ นั่งทำสมาธิแบบกำหนดลมหายใจเข้าออก ทำไม่ถนัด บางคนว่า ร้อน ยุกยิก ก็ทำแบบเดินจงกรมสิครับ ได้เดินหากคุณมีแรงมาก เดินไปสิ กำหนดลมหายใจไป หากไม่ชอบอีก ยังมีอีก 39 วิธี รวมแล้วเป็น 40 วิธิในการปฏิบัติ สมถภาวนา ครับ ลองไปหาอ่านกันครับ มันต้องมีสักแบบที่คุณทำได้ อย่าใช้ข้ออ้างว่า ทำไม่ได้ เพราะ นั่งสมาธิ ไม่ถนัด นั่นเพราะเราไม่เห็นคุณค่าเองครับ

           ฝรั่งเขาเอาไปทำ มีชีวิตสดชื่นกันเป็นล้านๆ คน แต่เราชาวเอเชีย กลับละทิ้งภูมิปัญญานี้ไปอย่างน่าเสียดาย ลองนำไปทบทวนครับ


สวัสดีครับ

คุณบอลล์ :0)

ปล. การทำสมาธิ แม้เพียง 2 นาที แต่เป็นองค์สมาธิจริงๆ ดีผลมากกว่า การนั่งเป็น ชั่วโมงๆ แล้วฟุ้งซ่านเรื่องนั้นนี้นะครับ เพราะการนั่งแบบนั้นคือ นั่งเล่น เช่น เล่นเน็ต เล่นเกมส์ เล่นพนัน คนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้เป็น วันๆ บางคนนั่งอยู่ข้ามวัน กันก็มี เป็นเพียง การสนองตัณหา โลภ โกรธ หลง เท่านั้น ไม่ใช่สมาธิ ดังนั้น ไหนๆ จะปฏิบัติแล้ว ทุกครั้งควรตั้งใจขจัดนิวรณ์ และทำให้ดีที่สุดครับ อย่าได้เสียเวลา

         คนที่โชคดีอยู่
               



Friday, December 26, 2014

บทความตอนที่ 9: สมาธิ ทำเป็นประจำ ย่อมดีแท้

สวัสดีครับ

        ผมมีข้อสังเกตุ บางประการ เกี่ยวกับการทำสมาธิ ซึ่ง ขอชี้แจงให้เห็น หลักพื้นฐานให้ผู้อ่านได้เข้าใจกันก่อน โดยจะมี สมาธิ 2 แบบ ดังนี้

  การทำสมาธิแบบ สมบัติกลางของโลก:

    ข้อนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ ชาวพุทธอย่างเราเข้าใจผิดสมบัติของเราเองผิดมาตลอด และจำนวนมากยังเป็นอย่างนั้น บางคนจนตายไปก็ไม่เคยรู้ เรื่องนี้สำคัญมาก เดี๋ยวว่ากันครับ

    ในอินเดีย หรือสมัยก่อนเรียกว่า ชมพูทวีป แต่บางคติเชื่อว่า โลกทั้งหมดในมิติของเรา เอ้าจะเป็นอย่างไรก็ว่ากันไปครับ

     ศาสนาในอินเดีย ส่วนมากจะมีการทำสมาธิ และมีหลักในการทำสมาธิ ที่ลึกซึ้ง เป็นวิชาที่ซับซ้อน กันทั้งนั้น เช่นของ ศาสนาพราหมณ์ และ พุทธศาสนา คนที่ปฏิบัติ หรือศึกษาสักหน่อยจะรู้ว่า นี่ล่ะคือหนึ่งของแก่นในศาสนา ไม่ใช่มีเพียงการอาศัยศรัทธา เพียงอย่างเดียว

      ต่อมาโลกเจริญขึ้น ก็เกิดการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ ฝรั่งเริ่มเห็นพลังของสมาธิ และนำไปเผยแผ่ไปทั่วทั้งยุโรป เยอรมันนี่ผู้นำเลย และไปถึงสหรัฐ จนการปฏิบัติในแนวทางของโยคี ผ่านทาง โยคะ และ แนวทางการทำสมาธิ เป็นที่นิยมมากขึ้นๆ จนกลายเป็นเรื่องโด่งดัง และเราก็รู้ว่า ฝรั่งเขามีข้อดี คือ ชอบอะไร พี่ท่านจะกัดไม่ปล่อย เขาศึกษากันแบบเจาะลึก จนวันนี้ผมยังเชื่อว่า ฝรั่งหลายคนเก่งเรื่อง โยคะ และ เนื้อหาในศาสนาพราหมณ์ มากกว่า แขกตัวจริงในอินเดียเสียอีก

      เมื่อกระแสโลกมีเรื่องการทำสมาธิ มีการนำไปปฏิบัติแล้วเห็นผลมากมาย ศาสนาที่ไม่เน้นเรื่องสมาธิเลย ก็เริ่มมีการนำมาทำกันบ้าง คงกลัวตกกระแส และก็เริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป เมื่อผ่านไปสักหลายรุ่น เด็กเกิดใหม่ มันจะรู้อะไรครับ ถือศาสนาตามพ่อแม่ น่ะ ก็คิดว่า ศาสนาเราก็มีนี่หว่า การทำสมาธิ หารู้ไม่ ผู้สอนศาสนาบางคนไปเรียนมาจาก พระพุทธทาส ด้วยซ้ำ จนเริ่มมีคำพูดที่ว่า

          สมาธิ เป็นของกลางของโลก

        อืมกลางก็กลาง แต่มันไม่ถูกไปเสียหมดหรอกครับ เพราะ

   1. การทำสมาธิแบบพราหมณ์ มีเรื่องของ จักระ ต่างๆ อันเป็นขุมพลังในการดูแล ร่างกายและจิตใจของคน เขามีปรัชญาแบบนั้น

  2. การทำสมาธิ มีหลายรูปแบบ ของพุทธเรา มีตั้ง 40 อย่าง และเรื่องของ ฌาน 4 - 8 ซึ่งท่านถือว่าในสมัยพุทธกาล เป็นของกลางจริง พระพุทธเจ้าท่านก็ทำได้ทั้งหมด สมัยที่ออกแสวงหาทางแห่งการหลุดพ้นในปีต้นๆ ซึ่งตรงนี้ เราส่วนมากรู้จักการปฏิบัติผ่านการทำสมาธิ แบบ อานาปนสติ หรือ ที่นั่งขัดสมาธิ หายใจเข้าออกนั่นล่ะครับ นอกจากนี้ ก็มี กสิน, และอื่นๆ อีกมากมาย รวมแล้ว 40 อย่าง

 3. ออกไปจากอินเดียก็มีวิธีการทำสมาธิตามที่ต่างๆ ทั่วโลก อีกมากมาย

    จะอะไรก็ตาม รวมเรียกทุกข้อว่า  การทำสมาธิแบบ สมถภาวนาครับ


การทำสมาธิแบบพระพุทธศาสนาเท่านั้น:

        คือการกระทำที่่ผมคิดเองว่า คือสิ่งที่เรียกว่า เหนือสุดยอด มีล้ำเลิศ นั่นคือ ในทางฌาณ นั้นสุดๆ จะทำในศาสนาใด ที่ใดของโลก ฌาน 8 คือสูงสุด และมีเรื่อง อภิญญา เข้ามา คือไม่มีมากกว่านี้ และฌาณ 8 ใครได้ ก็ได้เป็นพรหมชั้นสูงสุดแน่นอน และสภาวะที่ไปเป็นพรหม ก็พาให้คิดว่า เป็นนิรันดร์ หลุดพ้น ซึ่งมันยาวนาน จนนับไม่ถ้วน คนยุคในสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า นี่หลุดพ้น นิพพานแล้ว

          แต่ธรรมชาติมักจะหลอกเราเสมอ ไอ้ที่ว่าใช่ มักไม่ใช่ ไอ้ที่ว่าเที่ยงมักจะหลอก ลองคิดถึงชีวิตประจำวันของเราก็ยังได้ ธรรมชาติเป็นแบบนี้ ดังนั้น ความที่พรหมจากผลของ ฌาน 8 จึงเป็นของแน่ ในสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า แต่มาพบว่า จริงๆ แล้วมันหลอกครับ เพราะพอหมดบุญกุศล ก็กลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันใหม่ แบบนี้ ไม่นิพพาน

         จนพระพุทธเจ้าอุบัติ ก็ได้ให้กำเนิดวิชา วิปัสนา เป็นการทำสมาธิอีกแบบครับ เรียกว่า วิปัสนากรรมฐาน นี่ล่ะจึงบอกว่า มันไม่เหมื่อนกันหมดครับ วิปัสนาลึกซึ้งกว่ามาก และทำให้นิพพานได้ ครับ
เป็นทางเดียวเท่านั้น ลองไปหาอ่านกันดู  หากไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ไม่มีใครในจักรวาลคิดไ้ดครับว่าทำอย่างไร นี่ล่ะของแท้  ศาสนาอื่นไม่มีครับ 1,000,000 %

       เอาล่ะพื้นฐานปูกันไปแล้วต่อมามาว่ากันในเรื่อง การทำสมาธิเป็นประจำดีอย่างไรครับ

  การทำสมาธิเป็นประจำจะเปลี่ยน อย่างน้อย 2 อย่างในชีวิตคุณ

        1.จิตใจ
        2.ร่างกาย

  ด้านจิตใจ ทำให้ความสุขที่หายไปนานกลับคืนมา สุขที่คุณจำไม่ได้แล้ว ผมเรียกเองว่า สุขแบบเด็กๆ คือในวัยเด็ก เราซน เราเล่น เราไม่ต้องฟุ้งซ่านคิดอะไรมากมายเลย ตื่นมาไปเรียน ตั้งใจเรียน กลับบ้านก็เล่น พักผ่อน พอโตมา ก็มีเรื่องมากมายจนเราลิม และไม่เคยรู้สึกสุขแบบนี้อีก แต่การทำสมาธิทำให้เราสุขแบบเด็กๆ ได้อีก ลองทำกันดูครับ และยังมีผลต่อ วิธีคิด อารมณ์ และยังจัดการปัญหาในอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

  ด้านร่างกาย จะทำให้เกิดการปรับสภาพในร่างกายเองเพราะ ร่างกายนั้นมีผลมาจากจิตใจ เมื่อสัปดาห์นี้หรือก่อนนี้ มีผลวิจัยแล้วว่า เพียงคิดว่าเราออกกำลังกายจินตนาการให้เห็นภาพเป็นประจำ จะทำให้เราแข็งแรงได้  ลองไปหาอ่านกันครับ ขนาดทำให้ไขมันลด สร้างกล้ามเนื้อได้ แต่ตั้งใจคิดนะครับ แล้วการทำสมาธิ เป็นประจำ คุณสุขเหมือนไปรีสอร์ท ทุกวันตลอดปี ร่างกายคุณไม่ฟื้นฟูได้หรือ ในทางการรักษาด้วยปราณ เชื่อกันว่า จิตป่่วย การภายในป่วย แล้วต่อมากายจริงป่วยตาม ในทางตรงกันข้าม จิตแจ่มใส กายภายในแจ่มใส กายจริงก็แจ่มใสแข็งแรงตาม อย่าเพิ่ง งงครับ คิดเสียว่า เหมือน เปิดสวิชด์ไฟที่บ้านแล้วไฟติด แค่นั้นเลย ไม่ต้องแคร์ว่า หลอดไฟฝุ่นเกาะหรือเปล่า พอเปิดสวิชต์แล้วไฟติดเป็นพอ ครับ
เหมือนเป็น กฎจักรวาลแบบหนึ่ง

 
      การทำสมาธิง่ายๆ ทำไมไม่ทำกัน นี่ผมถามใครนี่ เพียงนั่งขัดสมาธ แบบคุณถนัดจะธรรมดา หรือ ขัดแบบเพชรอะไรก็ช่าง ให้คู้ขามาขัดสมาธ เป็นพอ คนอ้วนๆ เอาเท่าที่ทำได้ ครับ แล้วก็นั่งสมาธิ มือขวาทับมือซ้าย ยากตรงไหน โดยวันแรก ลอง 2 นาทีก่อนครับ

   นั่งได้ท่าทางเสร็จก็เริ่ม โดย หายใจเข้า นึกว่ามีลมหายใจลงไปที่ใต้สะดือสัก 1-2 นิ้ว ช้าๆ แล้วหายใจออกนึกว่ามีลมขึ้นจากใต้สะดือไปที่ปลายจมูกช้าๆ หายใจเข้านั้นท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ ง่ายๆ

    หายใจลึกๆ ยาวๆ ไม่ช้าเกินแต่ไม่เร็ว  ทำให้ได้ 2 นาทีพอแล้ว


     เพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ จนทำได้ 30 นาทีเป็นว่าเล่น พอแล้วหากคุณพอใจเท่านี้

  สำหรับผมตอนที่หัดแบบนี้ระยะหลัง ผมไม่บริกรรมอะไรทั้งสิ้น ผมว่าตามตำรา ท่านว่า หายใจเข้าให้รู้ว่าเข้า ออกรู้ว่าออกคือเอาใจ สติ ตามลม ไม่มีบอกว่าให้บริกรรมอะไรเลย แค่นี้ก็ยากแล้วครับ เราจะเรียกว่าเป็นการทำสมาธิ ก็ต่อเมื่อ

       มีภาพของคนรักเข้ามา ต้องตัดออก เรื่องงานเข้ามาต้องตัดออก คิดอะไรขึ้นมาต้องตัดออก คุณคิดว่า 2 นาทีแรกที่ทำสมาธิ ในชีวิต คุณทำได้ไหม อย่าเพิ่งหัวเราะ ทำก่อนครับ แล้วคุณจะรู้สึก แล้วทำตั้ง 30 นาที นี่คุณจะไหวหรือ หากนั่งแล้ว ความฟุ้งซ่านประดังเข้ามาแล้ว จิตของคุณ สติไปอยู่กับเรื่องเหล่านั้น 30 หรือ 300 นาที คือการเสียเปล่า มันไม่ใช่สมาธิ ทำไม?

 เพราะมันคือ สิ่งที่ขัดขวางจากการทำสมาธิ หรือ นิวรณ์ 5

  คือ พยาบาท เช่น คิดโกรธ อาฆาตไอ้นั้น อีนี่

        กามฉันทะ  เช่น คิดถึงหนังนั่นสนุก กินนี่อร่อย สาวสวย และอื่นๆ

        ความง่วงเหงาหาวนอน คือ ขี้เกียจ เพลีย เบลอ ทำให้เสร็จๆไป

         ความฟุ้งซ่าน   คือ คิดทั้ง 3 ข้อข้างต้นและเรื่องอื่นๆ ทั้งคิดทั้งเห็นภาพ อะไรก็ไม่รู้

         ความลังเลสงสัย  คือ กูทำสมาธิไปนี่ มันดีจริงหรือว่ะ แบบนี้

หากขณะกำลังทำสมาธิ แล้วมี 5 ข้อครบ ก็ซวยครับ ทำเป็นร้อยปี ก็เสียเปล่าครับ คือเหมือนคุณซื้อเฟอรารี่ มาขับในซอยเล็กๆ นานวันอาจขับเก่ง เลี้ยวในซอยแคบๆ ได้ว่องไว แต่มันไม่ได้ใช้ศักยภาพจริงๆ ของเฟอรารี่ ใช้สามล้อถีบเอาในซอยก็ได้ แบบนี้

    หากทำไปนานปี แต่มีพลาดข้อใดข้อหนึ่งใน 5 ข้อประจำ ก็เหมือน เอาเฟอรารี่ออกจากซอย แต่ใส่น้ำมันเพียง 1 ใน 10 ของถัง ขับไปไม่นานต้องกลับไปเติมน้ำมัน เสียเวลาไปนานปี แต่ไปเที่ยวได้ไม่ถึงไหน

      ดังนั้นต้องทำแล้ว ลดนิวรณ์ลงไปได้เรื่อยๆ จนหมด จึงจะสมกับการปฏิบัติสมาธิ คนทำสมาธิได้ดี ไม่ใช่นั่งได้นานอย่างเดียว แต่นั่งแล้วมีคุณภาพเต็มหรือเกิน ร้อย ครับ

      ดังนั้นตอนทำสมาธิต้อง ละนิวรณ์ให้ได้ โดยผมมีเคล็ดลับในการตามทันนิวรณ์ 5 ดังนี้

1.เริ่มนั่งก็หายใจไปตามคำแนะนำข้างต้น อย่าได้หวังอะไรว่า ตูข้าจะพบ แสง พบโน่นนี่ เกิดความเย็นซ่าเหมือนเมื่อวันก่อน เกิดปฏิหาริย์ เกิดพลังลมปราณ จากคัมภีร์ 9 อิม/เอี๊ยง บ้าบอ ทำอย่างเดียวได้เท่านั้นคือ ตูข้า จะใช้สติ ตามลมหายใจ ไปเรื่อยๆ แบบทางสายกลาง หากมันจะเกิดอะไร มันเกิดเอง เหมือนกับ
การเอาอาหารเข้าปาก ยังไงต้องอิ่มเอง เราไม่ต้องไปคิดว่า ช้อนที่ 10 จะอิ่ม ช้อนที่ 30 จะอ้วก ไม่ต้องครับ กินมันต้องอิ่ม ทำสมาธิมันต้องได้สมาธิ จริงไหม

2. อย่าไปนึกกลัวว่านิวรณ์มีอะไรเด็ดขาด วิธีเอาชนะมันคือ ไม่คิดถึง แต่หากโผล่ออกมา เราเอาจิตเข้าไปจับและระลึกว่า นี่นิวรณ์ข้อใด แล้วลบมันออกไป มาอีกทำอีก เอาให้มันงง มันจะหายไปเอง

 เช่น นั่งๆ อยู่ ภาพสาวอวบอั๋น ขาวปรากฎ  ก็ให้คิดว่า นี่นิวรณ์ ข้อ กามฉันทะ นี่เวลาอะไร นี่เวลาทำสมาธิ จงไปเสีย ลบไปเสีย ง่ายๆครับ

       มันเหมือนกับ เวลาเราเข้าห้องน้ำกำลัง อึ คุณอยากกินข้าว หิวเพียงใด คงไม่มีใคร กินข้าวตอนที่ กำลังขี้ ใช่ไหมครับ นั่นล่ะ ง่ายๆ

      อย่าไปคิดถึงมันไว้ก่อน แต่ให้ มันปรากฏ แล้ว จัดการตรวจว่าเป็นนิวรณ์ใดแล้วลบมันไปเสีย

3. มีอิทธิบาท 4 ทำจิตใจให้ผ่องใส และทำสมาธิไป วันหนึ่งเห็นผลเองครับ

 4. ต้องปรับความคิดใหม่ เมื่อออกจากสมาธิว่า สมาธิไม่ได้หมายถึงตอนทำสมาธิ แต่สมาธิคือ วิถีชีวิตเหมือน อากาศที่ขาดไม่ได้ ขาดแล้วจะเป็นคนไม่เต็ม เป็นคนครึ่งสัตว์ ต้องมีทั้งตอนทำสมาธิและตอนไม่ได้ทำสมาธิ

5. จงประคองสมาธิ ไว้ตลอดวัน โดยยึดหลัก หลักเลี่ยงนิวรณ์ ลบมัน แบบมีสมาธิ ไม่ใช่ กดดันนะครับ แต่ใช้พลังสติ สมาธิ ตามจับมัน รู้ทันแบบนี้


      นี่ล่ะคุณจะได้ผลจากการปฏิบัติสมาธิ มหาศาลครับ เพราะข้อ 4-5 นั้น เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยคิดกัน เช้ามาทำสมาธิ เย็นทำอีก โอย เริ่มจะเลิศกว่าคนทั่วไป หารู้ตัวไม่ ตลอดวันตอนไปทำงาน ไปเรียน ทั้งอาฆาต โกรธ ลามกจกเปรต ขี้เกียจ งานการไม่ทำ ไม่สนใจเรียน คิดแต่จะหาความสุข ฟุ้งซ่าน และไม่เคยสนใจว่าสมาธิมันจะดีอย่างไร แต่พอกลับบ้าน ทำสมาธิ สงบเชียว นอน ตื่นมาทำอีกรอบ เท่านี้กูเหนือกว่าคนทั่วไป กูเริ่มจะเจ๋ง แบบนี้ไม่ไหวครับ คือ มันเหมือน

              รินน้ำใส่ขวดรั่วครับ

       มีผลดีก็ในขณะที่ยังทำสมาธิ แล้วคิดว่าทำรอดไปจนเป็นสิบปีใหม่ หากทำได้ คิดว่า เติมน้ำไปได้กี่ขวด เผลอๆ เติมได้ไม่เต็มขวดตลอดชีวิต แล้วมันคุ้มไหม จริงไหมครับ

    ดังนั้นเมื่อทำสมาธิ ตามเวลาที่กำหนด เป็นประจำแล้ว เมื่อออกจากสมาธิ ยังต้อง ประคองไว้ได้ตลอดวันอีกด้วยครับ แบบจิตใจแจ่มใสนะครับ พร้อมเพิ่ม พรหมวิหาร 4 และอิทธิบาท 4 เข้าไปด้วยครับผม

ลองนำไปทำกันดู

สวัสดีครับ

คุณบอลล์ :0)

ปล. ผู้ที่เคยเจ็บช้ำมาก่อน แต่ปรารถนามิให้ผู้อื่นเจ็บช้ำเช่นตน อาจเรียกได้ว่า มีพรหมวิหาร 4  :0)


     

 

Friday, October 3, 2014

บทความตอนที่ 8: แนวคิดวิธีการฟื้นฟูจากความทุกข์ สำหรับคนทั่วไป

สวัสดีครับ

  เวลาพบภัยต่างๆ โซซัดโซเซ แทบจะล้มทั้งยืน สำหรับวันนั้นและวันต่อไป จนถึงวันหน้าฟ้าใหม่ ที่คุณย่อมต้องดีขึ้น ให้กระทำสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ **อ่านไม่จบจะเสียดายมาก**
1.จงพักผ่อนคลาย รับรู้อารมณ์ตามจริง อย่างสร้างสรรค์ ใช้ธรรมชาติชะล้างใจเอง
2. เชื่อว่าเราจะดีขึ้นได้ เขียนแปะไว้ที่กำแพงห้อง ก็ได้ว่า เราดีขึ้นได้ หรือเปลี่ยน Password ที่คุณใช้ Login ประจำทุกวันน่ะ เป็นคำบวก เช่น I believe I can do. Love will support. You are smart. นี่ล่ะคือการภาวนายุคเน็ตล่ะ เพราะไม่ว่าวันดีหรือวันร้าย คุณก็ต้อง Login ใช่ไหม และเมื่อเริ่มต้นด้วย Password ดี ที่เหลือมันต้องดีสิ :0)
3. จงมีสิ่งยึดเหนี่ยว และ การให้อภัย
ทำไม? นั่นเพราะ คนที่กำลังตกอับ อับจน มีทุกข์มาก ในบางคน
อาจมีสัญชาติญาณของสัตว์ ที่ต้องคิดปกป้องตัวเอง เอาตัวรอด หวาดกลัว
นี่เป็นธรรมชาติในการเอาตัวรอด แต่นี่เป็น สัตว์ เกินไป เราเป็นคนต้อง คิด
ประคองจิต คือ เอาธรรมะมาหล่อเลี้ยงใจ คือ สิ่งยึดเหนี่ยว และ การให้อภัย
เพราะจากประสบการณ์ที่ผมเห็นมาทั้งจากคนอื่นและตัวเอง ในภาวะแบบนี้เราจะ
ทำร้ายคนมากมาย และเสียใจภายหลัง ดังนั้น ต้องให้อภัยมากๆ ครับ
สำหรับสิ่งยึดเหนี่ยว ก็คนที่คุณรัก และ รักคุณ นั่นล่ะ ตั้งแต่ ครอบครัว ญาติ เพื่อน และอื่นๆ แต่อย่าไปเรียกร้องมากครับ เห็นไม่ค่อยมี Feedback ไม่เข้ากับที่คาดหวังไว้ ก็ปรับครับ แต่คุณคาดหวังได้ครับ อาจจะพอดี เวลา จังหวะไม่ตรงกัน ก็อย่าไปถือโทษโกรธกัน จงให้อภัย แล้ว มุ่งหน้าไปที่ คติ แนวคิดดีๆ มีให้อ่านเพียบ แบบฟรีในเว็บ ให้สร้างสรรค์นะ หากยังไม่ค่อยดี ไปทางศาสนาครับ เพราะ
ศาสนาสำคัญทั้งหมด ล้วนได้รับการทดสอบ ด้วยกาลเวลานานกว่า 1000 ปีทั้งสิ้น ศาสนายังคงอยู่ แต่คนต่างหากที่จากไป คิดดูสิครับ เป็นพันๆ ปี ยังอยู่แสดงว่า **ศาสนาเป็น App ที่พิสูจน์แล้วครับว่า เป็นที่ยึดเหนี่ยวได้** ไม่เหมือน Angry Bird ที่ตอนนี้กำลังมีปัญหาเพิ่งโละพนักงานไปเป็นร้อยคน (เดี๋ยวในไทยคงเสนอข่าว อาจจะสัก 2 สัปดาห์ครับ อย่างงว่า ผมทราบได้อย่างไร :0) ) หายิ่งยึดเหนี่ยวที่เบาสบาย และให้อภัย จะทำให้คุณผ่านได้ครับ
4. ลองคิดแบบนี้ว่า คน 1 คน จะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยอะไร หากคำตอบคือ ด้วยตนเอง นั่นมองโลกยังแคบไปครับ หรือไม่ก็จำๆ กันมา เหมือนกับคำว่า ต้องทำงานหนัก ชีวิตจะสำเร็จ ถ้าทำงานหนักโดยขโมยเขา ทำมากๆ อาจรวยแต่โดนจับสิครับ จริงไหม คนเราตามวิธีที่ผมคิด จะยืนหยัดได้ ควรมีองค์ 3 คือ
คนเราจะยืนหยัดได้ ควรมี
1. จงยืนหยัดด้วยตัวของเขาเอง
2. ยืนหยัดด้วยพลัง จากคนที่เขารัก และรักเขา
3. ยืนหยัดได้เพราะความเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา หรือ
พรหมวิหาร 4 ของจักรวาล
ทำไมผมถึงบอกว่า พรหมวิหาร 4 ของจักรวาล นั่นเพราะ
จักรวาล ไม่เคยเรียกร้อง ไม่ต้องการ มีแต่โอบอุ้ม พวกเราครับ:0)
5. ปลดปล่อยตัวเอง ตั้งใจจัดการกับปัญหาชีวิตอันใหญ่ยิ่งใน เวลาปัจจุบัน ไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ละวางฝันที่ใหญ่เกิน ความตั้งใจที่มากไป อันอาจกลับเป็นพิษร้ายออกไปจากจิต ทำจิตไม่คิด ไม่อยากอะไรพวกนั้นอีก ตัวคุณจะลอยในทันที และเอาจิตที่สดใสนั้นมาดำเนินชีวิตในปัจจุบันขณะนี้ ให้ผ่านวิกฤติไป ตามกำลังความสามารถของคุณ เต๋ากล่าวเอาไว้ว่า
เมื่อละวางทำจิตใจสบาย กลับได้มาซึ่งทุกสรรพสิ่ง
(คำเตือน: อย่าจำวลีนี้ไปแล้วทำไปดาดๆ ไม่ใช่น่ะครับ คือทำงาน มีฝันได้ มีเป้าหมายแต่ทำด้วยความรัก เบาๆ สบายๆ ไม่ใช่ ด้วยความอยากอย่างแรง)
ในทางพุทธ หากระหว่งทางเจออะไรแรงๆ ก็ให้อภัยไป คิดว่าทำบุญ เพราะ
กฎแห่งกรรม ทุกคนทำอย่างไร ได้อย่างนั้น เขาหรือใครทำไม่ดีกับเรา กรรมจะตามทวงเอง ไม่ต้องเหนื่อย
กรรมจึงเป็น App แบบหนึ่งครับ ที่สมัยไหนๆ จะทำงานอัตโนมัติเสมอ
กำลังเขียนข้อ 6 คือ สัญญากับตัวเองว่า เมื่อฟื้นตัวได้ ให้ช่วยสังคมและโลกอย่างอุทิศตน
6. สัญญากับตัวเองว่า เมื่อฟื้นตัวได้ ให้ช่วยสังคมและโลก อย่างอุทิศตน เพราะคนที่เกิดทุกข์ มีปัญหา ล้วนมิคาดว่า จะมีปัญหากับตน หลงระเริง มาก น้อย ต้องมี เมื่อพบเจอทุกข์แล้ว จึงได้คิดว่า ชีวิตนี้ไม่เที่ยงหนอ ยังเป็นคน ยังทำสิ่งดีๆ ได้อีกมาก ดีขึ้นแล้วจงเร่ง ช่วยสังคมและโลก :0) เริ่มจาก บิดา มารดา ญาติมิตร คนรัก และออกไปสู่สังคมภายนอก และ โลก จงทุ่มเทครับ
จากนั้นนำพลังใจนี้มาเป็น ธงในการ ฟื้นฟูตัวเองครับผม
สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Thursday, September 25, 2014

บทความตอนที่ 7. ทฤษฎีจุกก๊อก จอมป่วน เมื่อไม้ซีกทำลายไม้ซุงได้ไม่ยาก อย่าเป็นแบบนี้ครับ

สวัสดีครับ

     ไม่นานมานี้ จากการเฝ้ามองและสังเกตุสิ่งต่างๆ รอบตัว ได้พบเห็นปัญหามามากมาย และ ได้พบเห็นคนอื่นมีปัญหามามากมาย บังเอิญปีนี้ยังได้ ผ่านปัญหาใหญ่ๆ มาด้วยตนเอง เลยได้มีโอกาส ชะลอ ชีวิต จึงได้ มองเห็นสิ่งที่อยู่กับตัวเองมาแสนนาน แต่เรามองไม่เห็น ดังคำที่ผู้รู้กล่าวว่า

         มอง แต่ไม่เห็น
         ฟัง แต่ไม่ได้ยิน

     เลยได้คิด และสรุปออกมาเป็นแนวทาง ให้ผู้อ่านได้ อ่านกัน ลองนำไปต่อยอดนะครับ ผมไม่ถือว่าตัวเองเก่งอะไร แต่มีอะไรคิดว่าดี ก็เอามาเขียนให้อ่านกัน

     ทฤษฎีจุกก๊อก มีแนวคิดดังนี้

        ชีวิตคนเราส่วนมาก มีความสามารถในการทำสิ่งดีๆ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กันทุกคน แต่ส่วนมาก จะมีความอ่อนแอทางอารมณ์ ซึ่งเป็นผลมาจาก นิสัยของการชอบหาเหตุผล การเรียกร้องความยุติธรรมมากจนเกินไป จริงๆ อาจจะไม่มากเกินไป แต่มันอาจจะเป็นธรรมชาติของคนเรา 

        เมื่อเราเสียอารมณ์กับอะไรบางอย่าง ง่ายๆ โลกนี้จึงวุ่นวายมากสำหรับเขา ขณะที่คนไม่คิดอะไรมากกลับเจริญเอาๆ นั่นเพราะเขาไม่ไปใส่ใจ เป็นอารมณ์ไปเสียทุกเรื่อง ข้อนี้เป็นไปได้ไหม

        ดังนั้น มันคือ สิ่งเล็กน้อย ที่มาปิดกั้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง เปรียบเสมือน จุกก๊อก ที่ปิดกั้นไม่ให้น้ำในถังใหญ่ ไหลออกมาได้ จะมีน้ำมากขนาดไหน เพียงเอาจุกก๊อกไปอุดไว้ มันก็จะถูกขังไว้ในถังจนวันตาย 

        ชีวิตคนก็เหมือนกัน ในแต่ละปี มีอัจฉริยะบุคคล คนดีๆ มากมาย เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านคน ที่ตายไปตามอายุขัยแบบคนสามัญ ทั้งๆ ที่มีความสามารถมีพรสวรรค์ นั่นเพราะ ตัวเขาไม่สามารถ ทำลายหรือ ถอดจุกก๊อก ของตัวเอง ออกไปจากถังความคิดของตัวเองได้ ทำให้ต้อง ตายไปอย่างน่าเสียดายไม่ได้ใช้สิ่งที่ดีงามในตัวให้เกิดประโยชน์กับ ประเทศชาติและสังคม ช่างน่าเสียดาย

เอ้า

กลับออกมาดูตัวอย่างในโลกจริง เช่นว่า

        เป็นไปได้ไหม ที่มีใครสักคน ที่เพิ่งตายไป เขาติดใจอยู่ 1 ประเด็นว่า สังคมไม่ยุติธรรมกับเขา และไม่เคยได้รับการส่งเสริมอะไรเลย จากหน้าที่การงาน และเขาก็คิดแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเข้าสู่วัยชราภาพ โดยลืมให้น้ำหนัก กับ แนวคิด งานสร้างสรรค์ ที่เขาคิดไว้ได้นานแล้ว จนไม่ยอมเอามันออกมาจากความคิด และลงมือทำ อย่างมีสติปัญญา

        คุณอาจจะเป็นนายช่าง วิศวกร ในบริษัทยักษ์ หรือ ไม่ยักษ์ เพียงแต่คุณยังไม่ได้ ทำโครงการในฝันชองคุณ เพียงเพราะว่า  เจ้านาย ไม่เห็นหัวคุณ ไม่รับฟัง และ ไม่ๆๆๆๆๆ มากมาย คนทั่วไป จะโดนจุกก๊อกทางความคิดทันที คือ เมื่อไม่เห็นความสำคัญกัน ก็อย่าไปทำอะไรด้วยกันเลย แบบนี้

        แล้วคุณก็เริ่มโทษที่ทำงาน โทษตัวเอง และโทษไปหมดทุกสิ่ง ข้อนี้ เป็นธรรมชาติของคนครับ
แล้วเวลาก็ผ่านไป อย่างน่าเสียดาย จากวันเป็น ปี เป็นสิบๆปี แรงบันดาลใจของคุณก็หด สถานการณ์แวดล้อมก็ไม่ดีขึ้น สรุป ไม่มีใครชนะ

        หากสถานการณ์แบบนี้ ลามทุ่งไปมากๆ หากเกิดในหมู่บ้าน ก็จะุกลายเป็น หมู่บ้านแร้นแค้นทางความคิด หากเกิดในชาติ ก็จะเป็นชาติที่แร้นแค้นในทางความคิดเช่นกัน

    เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ มีอยู่ทั่วไป แต่ไม่ใช่จบแบบแร้นแค้นเสมอ ยังมีคนสองกลุ่ม ที่ยัง รักษาโลกในทาง รุ่งเรืองไว้ได้ คือ
   
1.กลุ่มคนที่คิดได้
    คนกลุ่มนี้จะคิดได้เองว่า ใครขัดใจ ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะก็ยังมี คนที่ตามใจ ใส่ใจในโลก เขาเลือกที่จะมองโลกในแง่ดี ดังนั้น สนใจ ไม่สนใจเขา เขาก็ยังทำ สิ่งดีๆ ของเขาต่อไป โดยได้ทำในสิ่งที่รักนั่นเอง

2.กลุ่มคนที่ไม่คิดอะไรมาก
     ด้วยธรรมชาติที่ไม่คิดอะไรกับใครมาก ทำให้ใครจะอะไรกับเขา เขาไม่สนใจมากนัก แต่ยังทำตามฝันต่อไป

   แต่มันน่าเสียดายที่ คนอีกกลุ่มนั้น Sensitive หรืออ่อนไหวเกินไป อะไรมากระทบหน่อยก็จะมีปัญหา อึดอัดขัดใจ เปลืองพลังสมองไปหมด ทุกประเภทล่ะ ที่เป็นแบบนี้ จะทางดี ทางร้าย ก็ล้วนเสียพลังสมองทั้งนั้น จริงไหม

     ใช้สมองไปกับเรื่องที่เปลืองสมอง มีแต่ ขาดทุนเท่านั้น หากำไรยาก แล้วในโลกนี้ เราคุมสิ่งแวดล้อมได้หมดไหม ไม่มีทางครับ อย่าเพิ่งมองอะไรมาก คน ก็ร้อยพ่อพันแม่แล้วครับ ดังนั้น ถ้าเรายังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ท่าจะไม่ดีครับ

     ต้องเปลี่ยน Change ครับ

   การแก้ไขปัญหาในเรื่อง ทฤษฎีจุกก๊อก มีดังนี้

1. เราจะอ่อนไหวไปกับปัญหามากมายในโลก อีกต่อไปนานไหม หากเป็นทั้งชีวิต เรากำไร หรือ ขาดทุน
    ควรคิดแบบนี้จนเกิดปัญญากันก่อน

2. อะไรคือเรื่องใหญ่ ที่บดบังตา ของเรา แต่เราอาจไม่รู้ตัว ควรละให้ได้ก่อน เพื่อสร้างความเบา ไม่มีภาระมาก ให้กับชีวิต เช่น ความทะยานอยาก อยากเป็นนั่น นี่ โน่น ตัดเลยครับ เลิก และปล่อยวาง โดย
ไม่อยากครับ คุณอาจพบว่า ชีวิตเบาและสงบมากขึ้น เพราะบางที เราทรงสภาพชีวิตตอนนี้ไว้ เพื่อ ความอยากของเรา จะได้เป็นจริงในอนาคต ว่าไหม

      แต่ตอนเด็กๆ เรามีความสุขมากมาย ไม่เห็นต้องตั้งมาจากความอยากนี่ ความสนุกกับความอยากคนละเรื่องกันนะ แต่ อ่านให้จบครับ

       เราไม่ได้บอกว่า ไม่ให้มีฝัน ไม่ให้ทำงาน ไม่ให้ดิ้นรนนะครับ แต่เป็นการ มีชีวิตแบบ รักที่จะทำครับ
ไม่ใช่ ทำเพราะอยาก คือคุณยังทำเรื่องเดิมได้เหมือนเดิม 100% แต่เพราะรักที่จะทำ สมัครใจทำ ไม่ใช่อยากครับ ทำได้ไหม คือ

       กระบวนการเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เปลี่ยนเพียงวิธีคิดครับ

        รวมๆ แล้วก็คือ ฉันทะ นั่นเอง

3. จงเอากระดาษมาหนึ่งแผ่น แล้วเขียนลงไปว่า ณ.วันนี้ มีอะไรในโลกบ้างที่สำคัญ สำหรับชีวิตคุณ

     เช่น  อาชีพการงาน, การเงิน, สุขภาพ, ความถนัด, งานอดิเรก, ผู้คน, ครอบครัว, คนรัก, สังคมบนเน็ต และอื่นๆ อีกมากมาย

 เขียนไป ก็วงกลมรอบ สิ่งเหล่านั้นครับ แล้วลองนับดูว่ามีกี่วง จากนั้น ให้เราทำแบบนี้

       -แยกวงที่กำลังเป็นปัญหา วุ่นวาย หรือ เราไม่ชอบ ออกมากลุ่มหนึ่ง
       -แยกวงที่เราชอบ พอใจออกมากลุ่มหนึ่ง
       -หากคุณละเอียดมากก็แยกกลุ่มที่กลางๆ ออกมาอีกกลุ่มยังได้

      เราจะพบว่า  พอได้ 3 กลุ่มแล้ว หากมองดีๆ เราจะพบว่า

       1.ชีวิตมีสิ่งให้ ทำ สัมผัสหลายแง่มุม ตามจำนวนวง ที่เรามี ในทุกกลุ่ม
       2. กลุ่มที่เป็นปัญหา ไม่ค่อยชอบ ก็เป็นกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
       3. มีกลุ่ม ที่ดีๆ เราชอบ และ กลุ่มที่เฉยๆ รวมแล้วอีก 2 กลุ่ม

   ทบทวนให้เห็นตามนี้ จากนั้น ให้คิดต่อว่า

     เราก็มีปัญญา เราจะปล่อยให้วงกลมสิ่งต่างๆ ในกลุ่มที่เราไม่ชอบ มาบดบัง หยุดยั้ง ทำลายชีวิตของเราที่เหลือทั้งหมดหรือ  มันสมเหตุสมผลไหม?  จริงไหมครับ

      แล้วลองถามต่อไปว่า ใครมาห้ามคุณไม่ให้ มีความสุขในกลุ่มที่คุณชอบ หรือ เฉยๆ ในกลุ่มที่คุณเฉยๆล่ะ ไม่มีใครนะครับ แต่เป็นตัวเราเองครับ ที่ ความทุกข์ได้บดบังดวงตา และหัวใจของเรา ดังนั้น
จงคิดต่อไปอีกว่า

       กลุ่มที่เราไม่ชอบไม่พอใจ มันคงแก้กันยากหน่อย ก็ประคอง พยุงไป ตามความเป็นจริง ตามกำลังความสามารถ

       กลุ่มที่ดีๆ เราชอบก็ทำไปสิครับ จะหยุดทำไม ทำให้ดี รักษาไว้ และ พัฒนาขึ้น ตามความเหมาะสม อะไรที่ดีๆ ทำให้มากๆ อะไรไปทางสุขเกินก็ระวัง เดี๋ยวจะกลายเป็นทุกข์เสียแทน คือ สุขแบบระวัง สุขแบบดูแล

       กลุ่มเฉยๆ มีก็ดี ไม่มีก็ได้ หากเห็นว่า กรอบเวลามีไม่มาก อะไรลดได้ก็ลด เอาเวลามา ประคองกลุ่มที่ทุกข์ และ สร้างเสริมกลุ่มที่สุขไม่ดีกว่าหรือ

    คิดแบบนี้ดีอย่างไร ข้อดีก็คือ ในยามที่เราทุกข์ มีปัญหา หากเราทำลายความสุข หยุดไปหมดเลย เท่ากับเราหยุด พัฒนาตัวเอง ดองตัวเองในความทุกข์ และดึงตัวเองให้อยู่ในความหม่นหมองมากเกินไปครับ ดังนั้น ต้องแยกให้ออกก่อนว่่า เราทุกข์อะไร ปัญหาอยู่ตรงไหน และ ยังต้องประคองรักษาส่วนที่ดีไว้ไม่ให้สูญหาย จริงไหม

       เพราะความทุกข์พอมันผ่านไป เราก็จะพร้อมสุขต่อ ไม่ใช่พอทุกข์หายไป เรากลายเป็นคน อมทุกข์ไปเสียแล้ว เพราะทิ้งสุขไปเสียหมดนั่นเอง

       การที่เราละเว้นทำเรื่องดีๆ ไปหมด ยามเมื่อเจอปัญหา  เล็กใหญ่ จึงเปรียบเสมือน การใช้จุกก๊อกมาอุดไม่ให้น้ำไหล น้ำเมื่อไม่ไหลก็จะเป็นน้ำที่เสีย ไม่สดใส สังเกตุกันไหม น้ำในลำธาร น้ำตกจะใส เพราะมีการไหลอยู่ตลอดเวลา

       ฉันใดก็ฉันนั้นแล คนเราทุกข์กันได้ครับ แต่อย่าหยุดทำสิ่งดีๆ ที่เหลืออยู่ จงทำอย่างสบายใจ อย่าไปคิดมาก เพราะมันเป็นไปได้หรือ ที่ทุกข์วงจะมีแต่ความทุกข์ ขณะเดียวกัน ทุกวงจะสุขตลอดเวลาทำได้ไหม อาจทำได้โดย การประคองวงที่มีทุกข์ ให้ทุกข์น้อยลงๆ ขณะที่สร้างเสริมดูแลวงแห่งความสุขไว้ไม่ให้เสื่อมถอย แบบนี้ครับ

      ดังนั้น จะอยู่บ้าน จะออกนอกบ้าน แม้นเจอปัญหาเดิมๆ ก็ให้คิดว่า นี่เป็น วงหรือภาคทุกข์ ที่ยังแก้ไม่ได้ ได้น้อย วงนี้เรารู้แล้ว แต่ตัวเราไม่ใช่ทั้งหมดของวงนี้ ยังมีอีกเป็น สิบๆ วงกลม ที่ประกอบกันเป็นตัวเรา เราก็เข้าไปอยู่ในวงความสุขสิครับ เป็นเทคนิคไม่ยาก

      แต่หากเราเจอวงความทุกข์  แล้วคิดเหมือนเคยว่า วงความทุกข์นี้คือตัวเรา เราก็แย่นะครับ คือ เราจะทุกข์ 100 % แต่หากคิดว่า มันคือ 1 ใน 10 วงของชีวิตเรา เราจะทุกข์เพียง 10% เท่านั้น และหากคิดได้จริงๆ เช่น เจอเรื่องไม่ชอบอีกแล้ว เมื่อก่อนเราทุกข์มาก คิดแบบ 1 ใน 10 ทุกข์หายไป ตอนที่เจอเราก็ไปคิดเรื่องที่เราสุข ปรากฎมีหลายวงเลย มันไม่มีทางทุกข์มากไปได้ครับ พอทำได้บ่อยๆ เราจะเห็นว่า เรามีความสุขมากขึ้นๆ ทำไม

     เพราะว่า ทุกข์ ไม่สามารถให้ผลแรงได้ตลอดเวลา มันต้องอาศัย เวลา และผลการชดใช้ หากจะมองแบบกฎแห่งกรรม ทุกครั้งที่เกิดทุกข์ในเรื่องใดๆ กรรมจะลดไปตามวันเวลาที่เราชดใช้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า กรรมจะกลับมากระทำเองไม่ได้ครับ นี่คือเทคนิคง่ายๆ

       กรรมไม่ดีบางคนสั้นๆ แต่ดันไปคิดสั้น กรรมไม่ดีบางคนยาวแต่สู้มาอีกหน่อย ก็ผ่าน

     กรรมดี ชั่ว ส่งผลแล้ว จะมาย้ำใหม่ไม่ได้ ครับ แล้วแล้วกัน จริงไหม

     หาวงกลมแห่งความสุขของคุณให้พบ ใครก็แย่งไปจากคุณไม่ได้ เพราะมันคือ กรรมดี ที่ส่งผลให้กับคุณ ภายใต้กฏแห่งกรรม ไม่มีใครมีอำนาจมาขัดขืนได้ นี่เข้าข้อ สัมมาวายาโม ชัดๆ ข้อ 6. ในมรรคมีองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าครับ

     เราต้องระลึกรู้ ไม่ใช่เอาใจไปจ่อแต่ในเรื่อง อกุศลกรรม ซึ่งเราหนีไม่ได้เช่นกัน แต่เราเลือก จดจ่่อได้นี่ครับ จริงไหม จดจ่อแล้วคิดแก้ไข ยังบรรเทาเบาบางกรรมได้อีก เช่นทำดีมากๆ ทำให้ผลกรรมไม่ดีลดลงแบบนี้ ก็เข้า ข้อสัมมาวายาโมเช่นเดิม คือ

        ให้ลด หยุด อกุศลกรรม และป้องกันไม่ใช้อกุศลกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีก แบบนี้

    เมื่อมีหลักฐานเป็นคำสอน แสดงว่า ย่อมทำได้ครับ ให้เราทำดังที่กล่าวมาข้างต้น

โดยสรุปก็คือ

    มีจิตเบาสบาย ใส่ใจในวงกลมแห่งความสุข ขณะที่ประคองวงกลมแห่งทุกข์ โดยค่อยๆ เจือจางความทุกข์ลงด้วยความดี หรือ กุศล ที่เราตั้งใจทำอย่างหมั่นเพียร 

(หากทำไม่ได้ ก็เหมือนคุณเอาจุกก๊อกมาอุดถังน้ำแห่งชีวิตของคุณไว้ ช่างน่าเสียดาย จริงไหม?)

           ซึ่งก็จะเข้ากับหลักคำสอนที่ว่า

       คนเราจะล่วงทุกข์ ได้ด้วยความเพียร

นี่ล่ะ ความมหัศจรรย์ของ พระพุทธศาสนา ที่คำสอน สอดคล้องกันไปหมดครับ อย่างงดงามอีกด้วย

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
ปล.อ่านบทความของตัวเอง ก็ได้ความคิดใหม่ว่า การเลือกไปอยู่กับวงกลมแห่งความสุข ก็คล้ายๆ กับการเข้าไปอยู่ในองค์ ฌาน ขณะที่ ทำให้นึกไปถึงคำว่า พรหมวิหาร 4 คือเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา แล้วยังย้อนกลับมาได้อีกว่า การได้ฌาน ก็ต้องผ่าน วิตก วิจาร ปิติ สุข และ อุเบกขา ซึ่ง เข้ากับตัวสุดท้ายของ พรหมวิหาร 4 พอดีเลยคือ ข้ออุเบกขา นั่นเอง ธรรมะ คือ สัจจะ เป็นหนึ่งเดียวจริงๆ คือ หากยังคิดอยู่ในร่องในรอย มันจะกลับมาเข้าทิศทางเดิม อยู่ดี จริงๆ ด้วย สาธุ สาธุ สาธุ :0)

Tuesday, September 23, 2014

บทความตอนที่ 6. อะไรคือคนอ่อนแอ

สวัสดีครับ

 
          ควรหรือที่เราจะตำหนิ คนที่พร่ำบอกปัญหาของตน ให้คนอื่นได้ เห็นใจ
 ในเมื่อ คนที่ โกงเขา ทำร้ายเขา เบียดเบียนเขา มีอยู่มากมายในโลก
  คนพวกนี้ต่างหากที่อ่อนแอ ก็เพราะเขา ...

     ไม่แข็งแรงพอ ที่จะระงับความโลถ
        ไม่แข็งแรงพอ ที่จะ ระงับอารมณ์
           ไม่แข็งแรงพอ ที่จะ ระงับความโกรธ

       มีคนตั้งมากมายในโลก ที่ ไม่แข็งแรงพอ ที่จะระงับ ความโลภ โกรธ หลง

      คนเหล่านี้หากไม่มีใคร ต่อว่า ว่าพวกเขาอ่อนแอ

     แล้วใย เราจะพูดถึง เพื่อน คนที่เรารู้จัก ญาติมิตร ว่าเขาอ่อนแอ เมื่อเขา กล้าที่จะเปิดเผย
 จุดอ่อนของตน ให้กับคนที่เขาไว้ใจได้รับรู้....เขาคือคนกล้าหาญมิใช่หรือ...
  หรือต้องรอให้วันของคุณมาถึง...
 
      พวกเราจะมีกันและกันไปทำไม เมื่อไม่พร้อมที่จะแบ่งปัน ทุกข์และสุข อย่างไม่มีเงื่อนไข
  จะมีกันและกันไปเพื่ออะไร...เมื่อยามทุกข์เราไม่คิดช่วยแบ่งเบา แล้วมันต่างจากคนแปลกหน้าอย่างไร
 

คุณบอลล์ :0)
ปล. เขียนสั้นๆ ไม่ต้องยาว ก็ถึงใจได้ครับ

Wednesday, September 10, 2014

บทความตอนที่ 5. เราสามารถ เผชิญความซับซ่อน หลากหลาย วุ่นวาย โดย ละทิ้งเหตุผล???

สวัสดีครับ

     เด็กเล็ก สนใจธรรมชาติ รอบตัว พ่อครับ แม่ครับ ผมเกิดมาอย่างไร
พ่อแม่บางท่าน อึ้งตอบไม่ถูก

     พอโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เหตุผลตัวนี้ กลับพาชีวิตวัยรุ่น ให้วุ่นวาย
  ทำไมๆ อย่างนั้น อย่างนี้ ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมๆ และปัญหาก็เกิดขึ้น
   แน่ล่ะสิ่งที่ใช้เหตุผลแก้ได้ ก็คือแก้ได้ แต่สิ่งที่ใช้เหตุผลอย่างเดียวแก้ไม่ได้
   คือแก้ไม่ได้

    ผ่านเข้าวัยทำงาน สิ่งที่ค้างคาใจ ซึ่งเหตุผลแก้ไม่ได้ ได้ แต้มผ้าขาวให้เกิด
    ผ้าหลากสี หากสีแห่งความดีมาก คนก็อยากคบ หากตรงกันข้าม คิดเอาเอง

    มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มานับตั้งแต่ มีคนบนโลก โลกจึงวุ่นวาย

    ในโลกมีเครื่องมือจัดการ ความซ้ำซากนี้

   ทางพุทธ เช่น ทางสายกลาง อุเบกขา พรหมวิหาร 4
 
    ลองประยุกต์กันให้เห็น

   จากใช้เหตุผลมากเกิน ดึงกลับมา ที่สายกลาง
   จากใช้แต่อารมณ์ ดึงกลับมา ที่สายกลาง
   เรื่องที่เหตุผลอธิบายไม่ได้ ก็อุเบกขา ปลงๆ บ้าง
   ถ้ามันไม่ถึง กับขึ้นโรง ขึ้นศาล คอขาดบาดตายล่ะก็

   สายกลางคือภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ สมมุติ

   คุณเป็นคน ธรรมชาติ ช่างมีน้ำใจ โอภาปราศรัย รักคนง่ายๆ
   ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ แต่ เอาคำว่าทางสายกลาง เข้ามาใส่
   คุณจะหมดอาการ ตกใจ ช็อค งงงัน เห็นคนเคยดี กลายเป็นคนไม่ดี
    เห็นคนเอาใจ ที่แท้ มันหวังผล เห็นคนเหมือนมีภูมิ แต่แท้จริงกลวงโบ๋
    และคนทุกแบบ

       "ให้ใจทั้งหมดได้ แต่จงให้แบบทางสายกลาง"

สวัสดีครับ
คุณบอลล์

ปล. พยายามวิดน้ำออกไปจากทุ่งผักบุ้ง แต่ก็ยังยาวอยู่ครับ บทความต่อๆ ไป ว่ากันใหม่ :0)
 

บทความตอนที่ 4: ทำไมบทความของผม ช่างกระทัดรัด???

สวัสดีครับ

    ผมได้แรงบันดาลใจจาก คัมภีร์ในอดีต อย่างของท่าน ขงจื่อ เช่น คัมภีร์หลุนอวี่ ซึ่งบ้านเราคนไทยรู้จักไหมน้อย แต่ละคำสอน มันสั้นๆ จนน่าตกใจ เช่น

      "สิ่งที่เราไม่ปรารถนา อย่ากระทำกับผู้อื่น"

    จบในตัว ถามว่า นักเขียนแบบผม ขยายความ ประโยคข้างต้นให้เป็น สัก 3-5 หน้าได้ไหม

   สบายมากครับ แต่ทำไมบล็อกนี้ยึดสไตล์นี้ ล่ะ แบบคัมภีร์หลุนอวี่

   นั่นเพราะอยากลองอะไรใหม่ๆ และ เป็นการให้ที่คนทั่วไป 95% เข้าถึงได้ เพราะในความคิดของผม คนทั่วไป ไม่ชอบอ่านหนังสือ บางคนอาจเป็นไมเกรน ปวดตา หรือ อะไรอย่างอื่น ที่พอเห็นตัวอักษรละลานตา จะเริ่ม มึนนนนนนน เป็นต้น

     ทีนี้พอมันสั้นๆ ใครก็อ่านได้ เผลอๆ ความตั้งใจในการเข้าถึงคนอ่านของผม จะสำเร็จก็คราวนี้ เพราะ คนส่วนมาก ที่เห็นยี่ห้อ คุณบอลล์ จะได้รู้อย่างหนึ่งว่า เออ บล็อกของคุณบอลล์ มีอยู่แห่งหนึ่งที่สั้น ไม่ยาวยืดดดดครับ

     เอ้ามาลองดูกัน ผมจะให้มันสั้นที่สุด เข้าใจง่ายๆ ดูสิว่าจะทำได้แค่ไหน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
ปล. ทำดี ทำได้ จงทำไป

 แต่สำหรับสิ่งเลวร้ายนั้น

      อิสลามมีกล่าวว่า   "..ถ้าเจ้าทำแล้วไม่ละอาย ก็จงทำไปเถิด..."
      ท่านขงจื่อมีกล่าวว่า "...เจ้าทำแล้วสบายใจอยู่ไหมล่ะ ถ้าสบายใจก็ทำไปเถิด"
       (น่าจะเป็นช่วงไว้ทุกข์ แต่กลับกินอาหารดี แต่งตัวสีฉูดฉาด เลยโดนท่านขงจื่อประชดเอาแรงๆ )

บทความตอนที่ 3: งีบเล็กๆ ที่มีคุณภาพ อย่าพลาด

สวัสดีครับ

     การงีบเล็กๆ หรือ Take a Nap เป็นสิ่งที่หลายๆ คนบอกว่าดี และเมื่อมีการวิจัยออกมาก็ดีจริงๆ
อย่าทนทั้งวัน ทั้งๆ ที่ง่วง เพื่อจะมานอนตอนกลางคืน จงแทนที่ความทนทาน ความดื้อจะตื่น โดยการแอบงีบ สัก 10-15 นาที มันดีกว่าแน่ๆ ลองทำกันครับ


สวัสดี
คุณบอลล์ :0)

ปล. ผมเคยถามตัวเองว่า บทความต้องยาวไหม?

Monday, September 8, 2014

บทความตอนที่ 2. เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน และ ถูกต้อง :0)

สวัสดีครับ

จงปิ้งขนมปังด้วยความรัก และ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยเสมอ
   ตัวผมต้องขอออกตัวไปเสียก่อนในช่วงต้นว่า ผมไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ สูงส่งอะไรเลย ในขณะนี้ ชีวิตออกจะวุ่นๆ ในระยะนี้ด้วยซ้ำ (ปี พ.ศ.2557) แต่เพราะวุ่นๆ นี่ล่ะ ได้พบคนหลากหลาย ที่สามารถช่วยเราได้ แม้เพียงรอยยิ้ม คำพูด ยาว หรือ สั้นก็ตาม

     รวมทั้งคำสอน คติธรรม และ บทความหลายๆ อย่าง ทำให้ชีวิตได้พบอะไรๆ ดีๆ อาจจะมากกว่าตอนปกติสุข เสียอีก ก็เหมือนได้มีประสบการณ์ ภาคบังคับ มาครับ ชีวิตคนเรา เคลื่อนคล้อยไปตาม แรงกรรม ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะดีร้าย ก็ขอให้อยู่กับปัจจุบันครับผม และมีใจคิดไปในทางบวกๆๆๆ ครับ

     ผมอาจจะเขียนบทความจากนี้ไป เป็นร้อยๆ บทความในบล็อกแห่งนี้ หรือมากกว่านั้น แต่ผมหาใช่เจ้าลัทธิ ผู้รู้ ที่จะมาทำตัว เลิศเลอ สำเร็จยุทธ์ ไม่ใช่นะครับ ผมขอให้คิดว่า ผมเป็น นักอ่าน นักเขียน และ นักเล่าเรื่อง ที่พอมีความสามารถ ก็พอครับ

    คุณธรรม ความดี จากบทความ คำสอน งานวิจัย เปรียบเสมือน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ที่เที่ยงตรง จนกว่าจะมีงานวิจัยใหม่ๆ มาโต้แย้ง แต่ผมนั้นเป็นเพียง นักเล่าเรื่อง ที่ เงยหน้ามองฟ้า แล้วบอกคุณว่า ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก ขณะที่ดวงจันทร์ ก็ขึ้นในเวลาค่ำ ขณะที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยหายไป เมื่อเวลาของกลางวันหมดไป ก็เท่านั้น

    ผมเป็นนักเล่าเรื่องนะครับ ไม่ขอกล่าวว่าตัวเองสำเร็จอะไร อนาคต คนเราอาจจะดีมาก กลางๆ หรือ เสียหลักก็เป็นได้ แต่ คำสอน ปรัชญา งานวิจัย ต่างหากที่คงอยู่สืบไปครับผม

  สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

บทความตอนที่ 1: เริ่มก่อตั้ง

สวัสดีครับ
 
จงปิ้งขนมปังด้วยความรัก และ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยเสมอ
มันเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของผมมานานแล้วว่า ทำอย่างไรที่เราสามารถส่งกำลังใจ ให้กับคนจำนวนมาก โดยมีบทความ ที่อาจจะเกิดมาจาก ประสบการณ์ หรือ การเรียบเรียงมาจาก สื่อที่น่าเชื่อถือแล้วนำมาเผยแผ่ให้กับคนจำนวนมาก ได้อ่านกัน

   จริงๆ แล้ว คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็จะมีบุคลิกร่วมบางอย่าง ซึ่งแม้จะไม่เต็ม 100 แต่สิ่งนั้นมีจริงๆ เพราะหากไม่มี งานวิจัยแนวนี้จะทำไม่ได้เลย แม้คนเราจะแตกต่าง แต่ จุดร่วมของความสำเร็จ ความล้มเหลว จะเป็นสากลเสมอ เพราะ เราเป็น คนเหมือนๆ กัน จริงไหมครับ

    ฉะนั้นแล้วทำไมเราไม่นำเรื่องราว ดีๆ มารวมไว้ในที่เดียวกันล่ะ ในวันที่เราจะหนุ่มๆ อยู่ น้อยที่สุดยังเก็บไว้อ่านเองได้ยามแก่ ซึ่งเชื่อแน่ว่า อ่านปั๊บผมในวัยชราต้องขอบคุณ ตัวเองแน่ๆ

      หนึ่งคือ เราได้อ่านสิ่งดีๆ ที่เราเขียนไว้เอง แม้จะผ่านมาแล้วหลายสิบปี
      สองคือ มันจะอยู่คู่โลกนี้ไปอีกนาน แสนนานและจะมีคนที่ได้อ่านบทความเหล่านี้
                  และนำไปทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ตามใจสมัคร ด้วยตัวของเขาเอง

     แบบนี้ไม่ดีหรือ?

    ผมเคยเขียนไว้หลายที่ในบล็อกอื่นๆ ของผมว่า สมัยก่อนคนสร้างประโยชน์ให้สังคม หมู่ใหญ่ด้วยการ สร้างสะพานเป็นต้น แม้เขาจะเสียชีวิตไปแล้ว สะพานก็ยังอยู่รับใช้ผู้คนอีกหลายร้อยปี ถามว่า นี่เป็นการ ฉลาดทำบุญ กุศลใช่ไหม แน่นอนครับ ฉลาดมาก เพราะอะไร

     คนเราพอตายไป หากกุศลมี ก็ไปสุขคติ อาจกลับมาเป็นคนอีก หรือ เป็นเทวดา อะไรไป แต่หาก อกุศลมีมาก คงต้องมุ่งสู่อบายเป็นแน่แท้

      แต่จะไปทิศไหน ก็มีคำถามว่า แล้วจะเป็นคนที่ สร้างทำบุญกุศล เหมือนในชาตินี้ ที่กำลังรู้ตัวอยู่ไหม ไม่แน่นะครับ อาจกลับมาเป็นคน ที่พรั่งพร้อมแต่ถูกตามใจจนเหลิง กลายเป็นคนบาป ไปก็ได้จริงไหม

       ครั้นไปเป็นเทวดา ก็อยู่ยาวเกิน คือ กว่าจะหมดบุญ บางคนข้ามกัปป์ กันเลย อาจลืมเรื่องทำบุญไปเลย ทำไงล่ะครับ

       ส่วนพวกที่ไป ทุกขคติ ก็ไม่ต้องพูดถึง ใช้กรรมเลวกันไม่หวาดไม่ไหว ก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว

    ดังนั้น คนที่สร้างอะไร ที่ส่งผลต่อคนหมู่มากไว้ แล้วให้เขายังรับใช้ ผู้คนแม้เราได้ จากโลก จากชีวิตนี้ไปแล้ว ย่อมเป็นการ ฉลาดทำบุญ แน่นอน

        หากคุณสร้างสะพาน คุณช่วยคนคิดว่า ปีละกี่แสนกี่ล้านคนครับ คิดเอาเอง ลูกหลาน ญาติของเขาเจ็บป่วย ไปหาหมอทันกาล ก็เพราะสะพานของคุณแบบนี้ คุณว่าดีไหม

         หลายคนสร้างวัด สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน มูลนิธิ และอีกมากมายหลายวิธี บางคนอาจไม่ได้คิดอะไร แต่อาจนึกไม่ถึงว่า บุญกุศล เขาติดตามไปข้ามภพข้ามชาตินะครับ คุณว่าจริงไหม

           ผมจึงเห็นว่าเมื่อ โลกมีวิทยาการขนาดนี้ เราก็ทำแบบเดียวกับคนสร้างสะพานสิครับ เขียนเผยแผ่สิ่งดีๆ ฝากไว้ให้โลก

        หนึ่ง ความรู้ประสบการณ์จะไม่ตาย เสียเปล่า ไปกับเรา จริงไหม
        สอง ช่วยประเทศชาติทางอ้อม เพราะ เยาวชน คนโต มาอ่าน ช่วยให้เกิดปัญญา มีโอกาส
               สร้างชีวิต เรียกว่า วิทยาทาน
        สาม ไม่รบกวรสถานะทางการเงิน หลายคนอย่างทำบุญใหญ่ แต่อย่างสะพาน 1 แห่ง ราคาใช่จะ                 ร้่อยสองร้อย น้อยคนจะมีทุนพอทำได้ แต่อินเตอร์เน็ต กับความคิด และ บล็อก หรือ
                กระดานสนทนา หรือ เว็บไซต์ หรือ กระทั้ง โซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำได้ง่ายๆ เลยครับ

        สี่ ความรู้แนวคิดของเรา จะอยู่คู่โลกตลอดไป จนสิ้นโลกนั่นล่ะ
        ห้า เป็นบุญกุศลติดตามเราไปทุกภพชาติ จริงไหมเล่า

 ดังนั้นจึงได้เกิดบล็อกนี้ขึ้นมาครับ ขอให้ติดตามผลงานของผม กันต่อไป

สวัสดีครับ
คุณบอลล์
:0)
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557