Wednesday, March 4, 2015

เพียงเราคิดที่จะ สู้ กับเขาคนนี้ หมอบอกว่า เขาเดินแบบปกติไม่ด้อีกแล้วตลอดชีวิต แต่...


ฟื้นชีวิต ใหม่ จากเดินไม่ได้ มาวิ่งได้ และลดได้ 70 กิโลกรัม
ชื่นชมเขามากๆ :0)

ช่วยกันแชร์ครับ :0)

Monday, February 23, 2015

บทความที่ 16: วิธีรับมือปีชง แบบชาวพุทธ :0)

สวัสดีครับ

    ไม่ทันไร ตรุษจีนก็ผ่านไปอีกปีแล้ว มีข้อสังเกต เล่นๆ ว่า ปีใดผมกลับไปร่วมงาน อะไรๆ ก็ดีขึ้นเช่น การเงิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ปีไหนไม่กลับ ก็งั้นๆ อย่างไรก็เป็นการแสดงความเคารพบรรพบุรุษครับ ไปร่วมงานได้ ก็สมควรไป เรื่องอื่นถ้าใช่ เขาก็มาเอง

     ตรุษจีนมาพร้อมกับความเชื่อ ทางโหราศาสตร์อีกด้วย ซึ่ง จริงหรือหลอก เราก็ไม่รู้ มาพร้อมกับคำว่า ปีชง คนที่เกิดนักษัตรอะไร และ ในปีในเป็นปีชง เขานับจากอะไร ก็ตรงช่วง ฉลองปีใหม่ตรุษจีนนี่ล่ะครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผมเคยอ่านตำราฮวงจุ้ย มาแบบผิวเผิน พอทราบว่า ส่วนมาก คนจีน เขาจะเปลี่ยนปีกันช่วง วันที่ 3,4 หรือ 5 กุมภาพันธ์ นี่ล่ะ เอาเป็นว่าก็ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ของบ้านเราครับ

      ดังนั้น ใครเชื่อปีชง แต่อย่าไปงมงายนะครับ พอเข้าตรุษจีน ปีใหม่ ก็มีเฮ ทำไมน่ะหรือ ก็ปีชง ผ่านไปแล้วไงครับ อะไรๆ สำหรับคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็คงจะดีขึ้น จริงไหม คนที่ไม่เชื่อ เขาคงไม่สนใจหรอก เพราะ ดีหรือร้าย ฉันก็ผ่านของฉันมา

      แต่สำหรับคนที่เป็นปีชง พอตรุษจีนเข้ามา เขาอาจจะโล่งใจกันมาก เพราะ สิ่งไม่ดีได้ผ่านไปแล้ว ทีนี้มันก็เกิดเรื่องราวให้คนได้ สนใจกัน เช่น เมื่อสัปดาห์ก่อน มีข่าว พระเอกดังควบมอเตอรไซต์ ประสบอุบัติเหตุ พอดี ในวันแรกของปีชง เสียด้วย อะไรแบบนี้ และ มีติดๆ กัน อีก 2-3 วัน แถมบางคน ชงก่อนปีใหม่คือ เกิดก่อนแค่สัปดาห์เดียวก่อนปีใหม่ แบบนี้

        ข่าวสารแนวนี้ทำให้ กระแสปีชงกลับมาเป็นที่สนใจของคนไทยจนได้ คุณว่าไหม ชงหรือไม่ชง มีจริงไหม สำหรับชาวพุทธ พระท่านว่า

         เวลาไหนที่เราทำสิ่งอันเป็นกุศล เป็นมงคล ขณะนั้นเรียกว่า เวลาดี ฤกษ์ดี ชั่วขณะดี 

ท่านว่าไว้แนวๆ นี้

...ผมดัดแปลงมาพูดนะครับ ลองไปหาฉบับจริงมาอ่านกันเอง ต้องบอก เพราะเดี๋ยวพูดไม่ถูก ไม่ครบ จะกลายเป็น ตู่พระพุทธพจน์อีก ตกนรกครับ ไม่เอาๆ ไม่ครบ ไม่ชัวร์ ต้องบอกกันไว้ล่วงหน้าครับ

        ข้อสังเกต สำหรับคนที่ผ่านปีชง บางคนที่เขาเล่ากันมา นะครับ

     คนพวกนี้เขาไม่ได้เชื่ออะไรปีชงเลย แต่ปีที่มันส่งผลไม่ดี เขามีข้อสังเกตุดังนี้ครับ

 1.เริ่มจาก ช่วงปีก่อนหน้า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ สักหนึ่ง หรือ สองอย่าง และดูเหมือนไม่มีอะไร
 2.พอเข้าปีใหม่จีน บางคนอาจไม่เห็นว่ามีอะไร แต่ บางคน ก็เกิดเหตุใหญ่ๆ ขึ้นมาอีก
  3. เกิดทีแรก ดังข้อ 2. พอผ่าน จะทำให้เราประมาทครับ และคิดว่าไม่มีอะไร
  4. แล้วอาจมีเรื่องให้เราจิตใจขุ่นมัวมากๆ เพลียมาก จนไม่มีสมาธิ สติกับตัวเอง
  5. แล้วมันก็ โชะเลยครับ มาแรงๆ หนักๆ สมกับปีชงครับ

     คือมีการสับขาหลอก แล้ว ยิงประตูตอนเผลอ!!!

  หากมองดีๆ แล้วเชื่อมโยงเข้ากับเรื่อง กรรม ทั้งดี และ เลว เราจะพบว่า ไอ้ตอนยิงประตู หลังจากสับขาหลอกนี่ล่ะ สำคัญ เพราะมันมี เส้นทางของ

                ใจขุ่นมัว อ่อนเพลีย ทำให้ กระแส โลภ โกรธ หลง ทั้งหมด หรือ อย่างใดอย่างหนึ่งมันแรง แล้วไอ้ตัวที่แรงมันก็เหมือน เป็น กุญแจประตูบานใหญ่ๆ ที่ กรรมไม่ดีในอดีต หรือ ปัจจุบัน ที่แรงๆ มันรออยู่ มันไขก็อกและปล่อยแรงดันเต็มๆ มาใส่เราได้

              จากธรรมชาติของกฎแห่งกรรม ที่ผมพอศึกษามาบ้าง ผมมีแนวคิดว่า หากเรา ใจผ่องใส และ มีสติ มีสมาธิ อะไรก็ผ่านได้ครับ คือ เอากุญแจบ้าๆ ความขุ่นมัว โยนทิ้งไปครับ ประตูที่เหมือน ประตูน้ำของเขื่อน กรรมไม่ดี มันจะได้ เปิดได้ไม่มาก เปิดแต่ช่องเล็กๆ ไม่ใช่มาไขก็อก แล้วเทใส่เต็มๆ ช่วงปีชง

              คุณว่า คนที่เพิ่งผ่านเรื่องแรงๆ แบบปีชง ที่คิดว่าแรงแล้ว ย่อมประมาทใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้ว มันอาจสับขาหลอก ดังนั้น ต้องไม่ประมาทครับ มีสติ มีสมาธิเสมอ และอย่าปล่อยให้ใจ ห้อยครับ
หรือ ชื่อเหมือนคอลัมน์ใน นิตยสารคู่สร้าง คู่สมที่ว่า ผัวเมียละเหี่ยใจ ไม้เอกนะครับ สะกดดีๆ ฮ่ะๆๆๆ

  อย่าให้ใจเรามัน ห้อย ละเหี่ย ขุ่นมัว ขณะจะทำกิจกรรมใดๆ อาจจะ ขุ่นๆ มึนมัวในที่ปลอดภัย นิดๆ หน่อยๆ ได้ แต่พอจะเริ่มทำกิจกรรมใดๆ ให้ปรับใจทันทีครับ ให้ดีขึ้น สดใสขึ้น

        วิธีปรับจิตใจตำรับพระญาณสังวร พระสังฆราช ผมขออัญเชิญมาไว้ ณ. ที่นี้ 2 ข้อคือ

1. ท่านให้ คิดดี พูดดี และ ทำดี ครับ
 2. ให้ภาวนา พุทโธๆๆ ไว้ตลอดเวลา เป็นพุทธานุสติ มีพลานุภาพมากๆ

   ฉุกเฉิน ก็พุทโธๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ครับ

  มันแปลกว่า จิตใจมันฟื้นกลับคืนดี ในทันทีครับ ไม่เชื่อให้ลองดู คนที่ใจหดหู่บ่อยๆ ในช่วงที่กำลัง ซวยๆ ให้ท่องพุทโธๆ ตามลมหายใจเข้าออกครับ ชีวิตดีขึ้นจริงๆ มันเห็นผลช่วง ที่ซวยๆ แบบทันตานี่ล่ะ ช่วง มีความสุขเราก็พอสดชื่น ไม่รู้สึกดีขนาดนี้ ไม่เชื่อลองครับ (ขออภัย ซวย เป็นคำหยาบไม่หน่อยจ้า :0) )

    ปีชง จะมีจริง หรือ ไม่จริง เราไม่รู้ แต่ พุทธพจน์นั้นเป็นคำจริงเสมอ ครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขในปีใหม่จีน ครับผม

สวัสดีครับ

Monday, February 9, 2015

บทความพิเศษ: สืบเนื่องจากอาการปวดหลัง เมื่อเริ่มทุเลาแล้วจะทำอย่างไร ?

สวัสดีครับ

   ผมเป็นอาการปวดหลังมา ก็ราวๆ 10 เดือนแล้วครับ ชีวิตได้พบอะไรมากมาย และ ได้พบว่า เราได้ศึกษามามาก เรามีความรู้บางอย่างที่ผ่านมาจากประสบการณ์ ที่นำมาใช้ได้ แต่ขณะเดียวกัน เราก็พบว่า เราได้เรียนวิชาชีวิต เพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่คิดว่า เราผ่านอะไรมามากแล้ว

     ถือว่าได้เรียนวิชาใหม่เพิ่มครับ เอ้ามาว่ากันต่อสำหรับคนที่ปวดหลัง แบบผม และมีอาการขา อ่อนแรง ซึ่ง ที่ผมเป็นนี่ถือว่าน้อยครับ คนที่เป็นมาก อาจต้องฟื้นตัวนานเลย แต่ผมก็เดินได้ปกติ มาตั้งแต่ปวดหลังใหม่ๆ คือมีอาการตรงก้น ที่มีกล้ามเนื้อกลูเดียส อะไรนี่ล่ะ ร่วด้วย โดย ผมได้โชค ดังนี้

      1.ผมได้ทราบว่า อาการที่ปวดตรงก้น เข้าไปลึกๆ ที่ไม่หายเสียที มาจาก กล้าม กลูเตียส ถูกใช้งานผิดวิธี น่าจะใช่เพราะผม ไปนั่งเก้าอี้ ก้มเก็บของครับ แล้วนึกภาพคนพุงใหญ่ๆ ก้มเก็บของ คือเราเซฟเข่า เซฟหลัง แต่ดันมาใช้กล้ามที่ก้น ผิดท่าทางไป เลยยาว และก้มตัวเก็บของ กับ ขนของเยอะมากๆ  ติดๆ กันหลายวัน ข้ามสัปดาห์ คือประมาทว่า รู้วิธีใช้กล้ามเนื้อ และป้องกันอันตราย กับกล้ามเนื้อกลุ่มหนึ่งตามวิชาการ ที่ลืมกฎไม่หนึ่งข้อว่า ขณะที่เราออกแรง กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนได้มีส่วนร่วมในการออกกำลัง จะมากน้อย ก็เท่านั้นเอง แต่ครานี้ มันมาโดนกล้ามเนื้อที่เรา นึกไม่ถึงเข้านี่สิ คือ บริเวณหลังส่วนล่าง และ ก้น เต็มๆ ใครจะคาดคิด

         ผมได้ ตั้งสติ หลังเกิดอาการปวดอย่างรุนแรง ซึ่งต่อมามีผลยาวต่อมาอีก 6-7 เดือนหลังจากนั้น  ในเดือนแรกที่มีอาการ ชีวิตผมไม่ต้องทำไรครับ แค่นึกเรื่องปวด ก็หมดเวลาไปกับมันแล้ว น้ำหนักผมลดฮวบเลย เพราะ หนึ่งไปไหนไม่ไหว สองกลัวว่าน้ำหนักตัวจะทำให้เจ็บมาก กินก็กินน้อยลง คนมันรู้ตัวเอง
ผมค่อยๆ หาข้อมูล เริ่มเจอ จาก Youtube เช่น ท่ากายภาพต่างๆ ท่าโยคะ ท่ายืดเส้น ของสถาบันเช่น มหิดล และ ที่อื่นๆ รวมทั้งครูอาจารย์ สายต่างๆ ผมเห็นท่าไหน วิธีใดดีๆ ก็จะเอามาทำหมด โดยมีการทำแบบวิทยาศาสตร์ คือ

            1.ท่าไหนตรงกับเรา ก็เอามาทำ  ท่าไหนไม่ดี ทำแล้วเจ็บ ก็เปลี่ยนท่าใหม่มาแทน
             2.รวบรวมท่าดีๆ ไว้ได้จำนวนมากพอ และขยันทำครับ
     
        ก็ลองตามอ่านในบทความที่ผ่านๆ มาครับ สำคัญคือให้ทำ ช้าๆ ไม่รีบครับ

       ในเดือนแรก ผมพบวิธีคลายอาการกล้ามเนื้อหยุดทำงาน โดยผมพบว่ามันเป็นแบบนี้ เพราะเราใช้งานมันผิดท่า และมากเกินไป ทำให้ กล้ามเนื้อประท้วง โดยการหยุดทำงานตามปกติ และส่งผลให้เกิดการ เจ็บปวดอย่างรุนแรง กลางคืนผมนอนไม่หลับเลย ต้องนั่งหลับครับ นอนท่าไหนก็ไม่ได้ ผมเชื่อว่า นี่เป็น เรื่องของเวรกรรม ที่ผมคงไปทำอะไรไว้ครับ แต่ก็ได้ชดใช้ไปแล้วครับ ตามสมควร

        ผมค้นไปก็ได้ เบาะแส ก็ค้นต่อในเน็ต จนไปเจอท่า ที่ทำให้กล้ามเนื้อ กลูเตียส ฟื้นสภาพได้ เขาให้นั่งครับ บนเก้าอี้ หลังตรงๆ แล้วเกร็งแก้มก้น ขวา 10 นับ (แต่ละครั้ง เกร็งแล้วนับ 3วินาที พัก 1 วินาที) จากนั้น ให้เกร็งแก้มก้นซ้าย ทำแบบเดียวกัน เชื่อไหม ทำกลางวัน คืนนั้น ผมนอนหลับได้เลย นี่ล่ะ ผมต้อง กราบขอบพระคุณคนที่เผยแผ่วิชาไว้ ณ. ที่นี้ครับ ต่อมาก็ทำเป็นประจำ แล้วก็สามารถนอนหลับได้จริงๆ แต่อาการปวดยังมีอยู่มากครับ

       จากนั้นผมก็ทำโยคะท่าที่ทำได้ ท่าไหน สังหรณ์ว่า น่ากลัว อย่าทำ เอาไว้ก่อน แบบนี้ ท่าลมปราณบู๊ตึ้ง ยืดเส้น เอาหมด ทำเพียงวันละ 30-40 นาที ผมทำอยู่ราวๆ 2 เดือนก็ดีขึ้น โดยผมไม่ได้ใช้ยาเลย ใช้การทนเอาครับ ลำบากก็ตอน ตื่น ลุกนั่งจะรอนานหน่อยกว่าจะคลาย จนยืนได้

       ผ่านไป สัก 4 เดือนเริ่มเอาท่า ครึ่งเต่า หรือ ก้มกราบ แล้วยืดแขนไปด้านหน้าจนสุดมาลองทำ ปรากฎว่า อากรปวดหลังที่มีอาการหมอนรองเคลื่อน เริ่มดีขึ้น ทำไปเรื่อยๆ เอ้า กล้ามเนื้อก้น ที่ปวดมาก หายมาก่อนเลย งงครับ ต่อมา อาการปวดหลังมาก ก็หายดีอีก

      แต่อาการขาไม่ไปตามคิด คือ ยังยืนโยกเยก ต้องใช้ไม้เท้า มันดีขึ้นครับแบบก้าวกระโดด คือจริงๆ พอผ่านมา 7-8 เดือนอาจปล่อยไม้เท้าได้แล้ว แต่ผมยังต้องใช้เพราะ การทำงาน มี บันไดเยอะมากๆ
ชีวิตเริ่ม หายปวดมากขึ้น

        คนที่ปวดหลัง ปวดเรื้อรัง ระวังเรื่องกินด้วยครับ หลายคน น้ำหนักขึ้น เพราะ การกินมันทำให้เราเพลินครับ และ ความปวดมันทำให้เราเหนื่อย มันลวงเราได้ เรื่อง เหนื่อย ซึ่งปวดเหนื่อย ไม่ใช่ออกกำลังกายเหนื่อยๆ ดังนั้น กินมาก  ก็จะอ้วนได้

       เมื่อเริ่มแข็งแรง หายปวดมากขึ้น แต่เราใช้ไม้เท้า นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะเราอาจลืมท่าเดินครับ และของอะไรไม่ค่อยได้ใช้ มันจะฟื้นช้านะผมว่า แล้วผมทำอย่างไร

       พอดีคุณแม่ ก็เตือนว่า หากใช้ไม้เท้าต่อไปมันจะหายช้านะ ผมก็คิดว่าน่าจะจริง ผมจึงตัดสินใจ ลาพักร้อนครับ

    1.เพื่อมีเวลาต่อเนื่อง ที่มากพอครับในการ ฝึกเดินไม่ใช้ไม้เท้า โดยผมคงจะไปเดินในสวน ที่ผมไปประจำโดยตั้งใจว่า จะเดินวันละ ไม่ต่ำว่า 1 ชั่วโมง ทุกเช้า ช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มสปีด ไม่ต้องรีบครับ เอาให้ รู้หมดว่า ตรงไหน ยังอ่อน ไม่แข็งแรง ก็เดินไป

   2. สัก 9-10 วัน ครับต่อเนื่อง

 นี่เป็นแผนที่วางไว้ คือสัปดาห์หน้าผมพักร้อน เอาไว้ ผมจะมาเขียนให้อ่านกันอีกครั้งครับ ว่าหลังพักร้อน ราวๆ 10 วัน การเดินของผมเป็นอย่างไร

     อาการขาอ่อนแรง จากที่เคยอ่านมา มีทั้งแบบ เป็นมาก อันนี้ควรหาหมอให้เร็วๆ สำหรับคนมีอาการบ้าง สาเหตุมาจาก ความเจ็บปวด หรือการใช้งานกล้ามเนื้อ มากเกินไป มันส่งผลกระทบกับ เส้นประสาทครับ อาจจะเส้นประสาทโดยตรง หรือ ตัวรับสัญญาณ ก็ได้ วิธีที่ควรทำ คือ หาหมอได้ก็หา คนที่ดูแลเองก็ควร ออกกำลังกาย อวัยวะที่อ่อนแรงลงไป เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า สะโพก เอว หรือกล้ามเนื้อต่างๆ

        ผมเป็นตอนเดือนแรกๆ ผมมีอาการที่ข้อเท้าขวา คือ วางเท้าบนพื้น ในท่านั่ง ผมจะยกปลายเท้าขวาขึ้นมาได้เพียงครึ่งเดียวของเท้าซ้าย มองไปก็สังเวชตัวเอง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเป็นแบบนี้ได้ แต่ก็สู้ครับ ตอนนี้ ก็กลับมายกได้เท่าๆ กันแล้ว :0) คือร่างกายมันก็ช่วยรักษาตัวเองครับ ขอให้ใจสู้ครับ

       ก่อนหาย ที่ข้อเท้า ผมเอาน้ำหนักราวๆ 1 กิโลกรัมวางที่ด้านบนเท้า แล้วยกแบบเพาะกาย 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง สลับ 2 ข้าง แม้ว่าข้างซ้ายจะปกติ แต่เราทำไปด้วยกันครับ  การที่ข้างปกติออกกำลังไปด้วยช่วยให้เรา แข็งแรง เอาพลังมาช่วยเวลาเรา เป๋ หรือ ทรงตัวไม่ดีได้อีกด้วยจริงไหม?

     หลังจากนั้น กำลังที่ขาผมกลับมาเร็วขึ้น ผมจึงเชื่อว่า ท่าเพาะกายต่างๆ หากเอามาใช้ในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ครับ

      จริงๆแล้วเคยเจอหมอนวดไทย เขาแนะว่า มาหาเขาน่าจะหายได้ เพราะยังหนุ่ม แต่ผมขอลองรักษาตัวเองกอน ก็ดีมาเรื่อยๆ แต่ใครมีหมอดีก็ไปหาหมอก่อนครับ ของผมทำแล้วดีขึ้นเรื่อยๆ ก็แล้วแต่ครับ

      จากหลักวิชาฝังเข็ม เขาว่า การที่เป็นโรคใดๆ มาจาก เลือดอุดตัน กับไม่ไหวเวียน หากทำให้เลือดไหลเวียนมาถึงได้ ก็จะหายได้ การเพาะกายก็เช่นกันครับ เวลาเราหัด มันก็

            1.ลมปราณ คือให้เพ่งที่กล้ามเนื้อนั้นๆ หายใจออกตอนออกแรง
            2. เมื่อออกแรง กล้ามเนื้อบริเวณนั้นก็มีฉีกขาด เลือดย่อมไหลเวียน มีการใช้พลังงาน
            3.กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เพราะการซ่อมแซมตัวเองของกล้ามเนื้อนั้นๆ
         
      มันก็เข้าทั้ง ลมปราณ และ ฝังเข็มครับ ผมเชื่อส่วนตัวว่า ผมจะหายดีได้ครับ รอฟังผลการฝึกกันต่อไปครับผม

   หมายเหตุ: ให้ไว้เป็นวิทยาทาน  สมุนไพรเถาวัลย์เปรียง แบบแค็ปซูลก็ได้ ลองหามารับประทานครับ ช่วยเรื่องการเจ็บ ของหลังส่วนล่างโดยตรง โดยไม่ระคายกระเพาะเหมือนยาของฝรั่ง อาจมีผลให้ท้องผูก เมื่อไรท้องผูกให้หยุดกิน สัก 4-5 วันครับ กิน 1 ครั้งอาจอยู่ได้ 2-3 วันเลย แล้วยังมีผลในการเข้าไปช่วยรักษาด้วยไม่ได้แก้ปวดเฉยๆ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, February 4, 2015

บทความที่ 15: วิชาลมปราณ สำหรับการป้องกันตัวเองจากสิ่งชั่วร้าย และ สิ่งรบกวนจากภายนอก

สวัสดีครับ

  วันนี้ก็ขอนำหลักวิชาลมปราณแบบโยคะอีกตัวหนึ่ง มาเผยแผ่ให้รู้จักกันครับ มาจากตำราลมปราณแบบโบราณที่น่าเชือถือเล่มหนึ่งอายุน่าจะ 50 ปีขึ้น ซึ่งมีการพูดถึง โยคะ ที่มากกว่า อาสนะ แต่มีการสอนวิชาลมปราณของสายโยคะเอาไว้ด้วย โอกาสต่อไปอาจจะรวมเล่ม และเผยแผ่เป็นวิทยาทานกันต่อไป

   วิชาลมปราณนี้ ฝรั่งแปลว่า รังไหม หรือ Cocoon  ผมอ่านก็ฮาครับ เราคนไทยเคยดูหนังจีน เลยแปลเป็น"วิชาลมปราณไหมฟ้า" แซะเลย เพื่อให้ได้ รสชาติ เพราะหนังจีนเรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน หรือเปล่าที่ตัวเอก ฝึกลมปราณวิชาไหมฟ้า นั่นล่ะครับ คนที่ดูเวอร์ชั่นหนังใหญ่ จะจำได้ว่า เกิด เป็นรังไหมรอบๆ ตัวพระเอกเมื่อฝึกสำเร็จ แต่กว่าจะสำเร็จ ต้องมีการถ่ายลมปราณจากหญิงมาชาย โอยสารพัด...

     ไม่น่าเชื่อมันจะมีอยู่จริง เพราะโยคะเขาฝึกวิชานี้กันครับ

     แนวคิดของวิชานี้ก็คือ เราอาจถูกสิ่งไม่ดีเข้ามาครอบงำ มาทำร้าย หรือ บางที สภาพแวดล้อม น่ากังวล น่ารำคาญใจ และ เราก็กระส่ำกระส่าย เพราะต้องระวังตัว มาแนวนี้ครับ ทำให้ โยคีจะฝึกกันไว้เพื่อป้องกันภัย ทั้งจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

      วิธีการฝึกปราณชนิดนี้ หรือ ลมปราณไหมฟ้า

 1.ทำจิตให้มีสมาธิ แล้วค่อยๆ สูดหายใจช้าๆ ลึกๆ  หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออก ท้องแฟ่บ สักพัก
  2. ให้ทำจิตคิดว่า เมื่อหายใจเข้า ปริมาณลมปราณ มหาศาล ได้ไหลเข้าสู่ตัวเรา พร้อมลมหายใจ
 3. เมื่อหายใจออกให้หายใจออกให้สุดจะดีมาก โดยคิดเพิ่มว่าพลังลมปราณที่เข้าไป ไม่ได้ออกมาพร้อม
    ลมหายใจ อ่านดีๆ นะครับ แต่ลมปราณนั้น พุ่งออกไปตาม รูขุมขนนับล้านๆ บนผิวหนังของเรา
   และเกิดเป็นรูปทรง คล้ายรังไหมห่อหุ้มตัวของเราไว้

 จากทฤษฎีเดิมพื้นฐานที่ว่า ปราณมีอยู่จริงและเชื่อฟังจิตของเรา

   เมื่อเป็นดังนี้ รังไหม ในรูปลมปราณก็จะเกิดขึ้น คลุมตัวเราเอาไว้ ้ป้องกันอะไรได้บ้าง
เช่น ขณะที่เรากำลังตกใจ ไม่ไว้ใจ คนแปลกหน้า, กำลังตื่นเต้น, กำลังเครียด, กำลังรู้สึกไม่ดี
รู้สึกหมดพลังเมื่ออยู่ใกล้คนบางคน, รู้สึกแปลกๆ, อ่อนเพลีย และอื่นๆ อีกมากมาย
หรือบางที่ อาจใช้ขณะต้องการทำสมาธิ ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงดัง ก็อาจจะเดินลมปราณไหมฟ้าไว้ก่อน แล้วปรับจิตไปทำสมาธิ (ทำสมาธิก็ทำสมาธิ อย่าคิดเรื่องปราณนะครับ...ระวัง ถ้ายากนักก็หาที่สงบๆ ทำสมาธิดีกว่า ง่ายดี)

      จากการทดลองเป็นการส่วนตัว พบว่า ปราณไหมฟ้า ดีมากกับอะไรที่ทำให้เรา ตกใจ ตื่นเต้น มันทำให้ความรู้สึกลบๆ หายไปแทบจะในทันที ส่วนท่านจะเอาไปลองแล้วได้ผลอย่างไร ก็ขอให้คอมเม้นท์กันได้นะครับ

     เคล็ดวิชา: หายใจสบายๆ เข้าสุด ออกให้สุด ไม่เร่งร้อน ไม่ผลักดัน สบายๆ  ทำมากน้อยแค่ไหน ก็ทำพอประมาณให้ สบายขึ้นกว่าก่อนทำ ค่อยเลิกครับ ไม่จำเป็นต้องฝึกไปอย่างต่อเนื่อง ตำราไม่บอกไว้ผมเลยไม่กล้าทำครับ :0) ไม่นอกครูดีที่สุดจ้า

     แนวคิดของผม เมื่อลมปราณไหมฟ้า ของโยคะทำให้เราสบายใจ ลดความตระหนกได้แทบจะในทันที จะทำให้ เรามีใจที่ใสขึ้นได้บ่อย อันเป็นผลให้ เราพ้นจาก ความเศร้าหมองต่างๆ ได้เร็วขึ้น ครับผม

  ข้อสังเกต: ยามใดที่เราอารมณ์ไม่ดี ลมหายใจจะผิดปกติในทันที(ส่วนมากไม่ค่อยได้สังเกตุกันเลย)
 แต่ลมหายใจที่มีจังหวะ เช่นเข้าสุด ออกสุด แบบมีสมาธิ มี วิตก วิจาร(ภาษาทางพุทธศาสนา)  คือ เฝ้าติดตามลมหายใจ และ ประคองไว้ได้ จะเปลี่ยน จิตใจเราให้กลับมาปกติได้ ทุกครั้งไป ไม่ผิดไปจากนี้ เป็นกฎตายตัว  แต่ให้ค่อยๆ ทำ อย่าฝืน อย่าเร่ง ทำแบบสบายๆ  ใครมีดวงตาเห็นธรรม ก็นำไปประยุกต์กันเอาเองครับผม :0)



สวัสดีครับ


Thursday, January 29, 2015

บทความตอนที่ 14: ธรรมะ สะกิตใจ: อย่าเพิ่งท้อ ท้อนักก็นับแต้ม บันทึกเก็บไว้


ที่มา: เคยได้ยินไหม คนจำนวนหนึ่ง เคยบ่นให้เราฟังกันว่า ทำดี ไม่เห็นได้ดี
แล้วก็ร่าย บทสวดส่วนตัว อันน่ากลัว นรกจะกินหัว คือว่า...
ทำดี ได้ดี มีที่ไหน... ทำชั่ว ได้ดี มีถมไป

      ซึ่ง ปริมาณของคน ทำให้ความหลากหลายของ เวรกรรม ทั้งดี และ ร้าย เกิด ถี่ยิบเกินไป ไม่ถี่ได้ไง ประชากรโลก ประมาณ 7 พันล้านเข้าไปแล้ว นักคณิตศาสตร์ เขารู้เลยว่า โอกาส จะเกิดอะไร มันจะมากขึ้น ตามหลัก สถิติ ง่ายๆ
พอ คนไม่ดี ได้ดี ให้เห็นเข้า บ่อยๆ คนก็ท้อใจ แต่ ลืมไปว่า ธรรมชาติ ข้อหนึ่งของคนเราคือ มักลืมความดีงามที่คนทำให้ตน และคิดถึงตน มากเกิน จนใครมาทำอะไรไม่ดี จะจำกันข้ามภพทีเดียว พอเจอสิ่งเลวร้ายมากๆ ก็จะ พูดว่า

ทำดี ได้ดี มีที่ไหน... ทำชั่ว ได้ดี มีถมไป

ทุกเจนเนอเรชั่น มันจะคิดได้เอง

       ทว่าพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร ผู้ล่วงลับ ท่านได้ ตรัสไว้ใน หนังสือเล่มเล็ก "ชีวิตนี้สำคัญนัก" เอาไว้ ประมาณนี้ว่า

..เวรกรรม ดี ร้าย ที่ทำมาในอดีตชาตินั้น ไม่สามารถประมาณได้ หลายภพชาติ
มันเหมือนกับการ เขียนหนังสือ ลงไปบนกระดาษแผ่นเดียวซ้ำๆ สักรอบสองรอบ ยังพออ่านได้ แต่พอซ้ำลงไปหลายๆ รอบ สิ่งที่เห็นคือ รอยหมึกที่ทับกัน ยุบยับซับซนอ่านไม่ออก...จึงเป็นของยากของคน ทั่วไป ที่จะรู้ได้ ถึง กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมที่ส่งผลให้เรา ว่ามาจากที่ไหน ตอนไหนอย่างไร ...
ท่านยังตรัสต่อไปว่า

...แม้นว่าคนทั่วไป ไม่สามารถจะเข้าใจความซับซ้อนของกรรมได้ แต่เราก็สามารถรู้ได้ว่า เป็นกรรมดี หรือ ไม่ดี ที่ทำมาในอดีต หรือ อดีตชาติ โดยการ ดูผลของกรรมที่แสดงอยู่ในปัจจุบัน เช่นว่า เห็นคนหนึ่งได้ดี มีความสุข นั่น คือ กรรมดี จากอดีต หรือ อดีตชาติ ย่อมกำลังส่งผลอยู่เป็นแน่แท้... หากเห็นใคร กำลังทุกข์ยาก ลำบาก กาย หรือ ใจ ย่อมมีผลมาจาก กรรมไม่ดีจาก อดีต หรือ อดีตชาติ กำลังส่งผลเป็นแน่แท้...

หมายเหตุ: ข้อความข้างต้น ผมย่อและเรียบเรียงใหม่นะครับ ของจริงต้องอ่านจากพระนิพนธ์ของท่าน...
นั่นคือ แม้ไม่สามารถ สีบสาวกลับไปในอดีต ได้เหมือนพระผู้มีญาณวิเศษ แต่เราสามารถรู้ได้ว่า เขากำลังได้รับผลจากกกรรมดี หรือ กรรมไม่ดี โดยดูที่ขณะปัจจุบันนั่นเองครับ
ดังนั้น ที่ยังยาก ยังเยอะ และมากเป็นพิเศษ กับปัญหาเพียบๆ ก็คือ อย่าคิดว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ ของคิดแบบชาวพุทธแท้ๆ จริงๆ ยอมรับความจริงว่า ถ้าชาติที่แล้วมีสุดประมาณ นับไม่ถ้วน เราคงทำบาปใหญ่ๆ ไว้มาก เพราะแม้ทำบาปไว้มาก ก็ทำดีไว้มากจริงไหม ใครมันจะทำชั่วได้ทุกชาติ เป็นไปไม่ได้ มันต้องปะปนกันไป แต่ กรรมชั่วทีส่งผลน่ะเพราะมันมีอำนาจ มีน้ำหนักมากกว่าครับ กรรมดีในอดีตจึงรั้งไว้ไม่ไหว เมื่อเป็นแบบนี้ทำอย่างไร

     ง่ายที่สุด แต่ทำใจยากหน่อย ภาวนา ครับ คือ ทำสมาธิ คนที่ทุกข์หนักๆ แทบจะเป็นจะตาย เข้าวัดน่ะทำถูกแล้ว คุณทำถูกแล้วครับ เพราะ ผลบุญจากการบำเพ็ญภาวนานั้น มากล้น ครับ และยังได้ เข้ากลุ่มสังคม ไม่เหงาอยู่คนเดียว มีเพื่อน ร่วมบุญเป็นสิบเป็นร้อย บางคน ทำสมาธิไป ไม่กี่วัน เกิด ฉุกคิดได้คำตอบชีวิต แล้วออกไปแก้ไข พลิกชีวิตไปเลย มีเป็น พันๆ ครับ

       ยากขึ้นมาหน่อย ก็ ทาน กับศีล คือ ให้ทาน เช่น ทำบุญต่างๆ ไปเป็นอาสาสมัครต่างๆ คือทำอะไรที่ดี ให้สังคม และตัวเอง และ หาก มีศีล 5 เป็นอย่างน้อย จะดีมาก
รวมแล้วคือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเองครับ

       บางทีทำ ทาน ศีล ภานา แล้วมันยังไม่เห็นภาพ ให้อยู่กับปัจจุบัน ครับ คือ แก้ไขเป็น เปลาะๆ คิดเสียว่า เกมส์ชีวิต มีทีละด่าน แก้ไขได้ นับ 1 แต้ม จากเรื่องเล็กๆ เอาง่ายๆ วันนี้เราทำอะไรดีๆ บ้าง 1 เรื่อง 1 แต้ม ทั้งที่เราทำ และ ทำกุศลอื่นๆ เช่น ช่วยคน ให้อภัยคน หยับจับเล็กๆ น้อยๆ เอาหมด นับ 1 แต้ม
คุณจะเห็นว่าใน 1 วัน เราสะสมแต้มความดีได้มากขึ้น และเกินกว่าที่เราจะคิดจากนั้น ทำทุกวันใน 1 สัปดาห์ แล้วรวมคะแนน จะเห็นว่า ได้แต้มกันเป็นหลายร้อยนะครับ บางคน ได้เป็น 1000 แต้มก็มี

        ความดีพวกนี้ไม่ไปไหนครับ มันอยู่ในดวงจิตของเรา ตายไป มีมากไว้ ไปสวรรค์ครับ นี่ต่ำสุดนะครับ คนที่ท้อมากกว่าเพื่อนๆ บางคนมีแต้มเป็นหลายพัน ต่อสัปดาห์ เพราะคุณเป็นคนแบบนี้ คือ ดีกับคนอื่นมาตลอดชีวิตไงครับ แต่คุณไม่เคยบันทึกว่า ดีเท่าใด อะไร อย่างไร พอมาทุกข์ เพราะกรรมใหญ่ไม่ดีส่งผล คุณเลย เป๋ แต่ลืมไปว่า คุณทำแต้มมามากกว่าคน ทั่วไปมาก สวรรค์เป็นอย่างน้อยรอคุณอยู่ครับ อย่าท้อ ไว้คุณนับได้หลายร้อยแต้มความดี ใน 1 สัปดาห์คุณจะรู้เอง

        1. คนที่ทำดีประจำ ทำมากๆ จะเกิดแรงใจ เออ กู หนู ผม ดิฉัน เป็นคนดีมากคนหนึ่งนี่หว่า นี่นา นี่คะ เออนึกไม่ถึง เรามีที่หมาย สุขคติอยู่แล้วจะ ท้อทำไม เอามาเป็นแรงใจ สู้ชีวิต มีความสุข เริ่มใหม่ กัดไม่ปล่อย เอาว่ะ เอาล่ะนะ เอาค่ะ แบบนี้

         2. คนที่บันทึกแต้มความดีแล้วเห็นน้อยๆ ก็จะได้คิดว่า กรรมหนัก ก็มี ชาตินี้เราก็ คิดแต่เรื่องของเรามานาน จริงๆ ทั้งสัปดาห์ ทำดี แค่ 10 แต้ม นี่กู นี่หนู นี่ผม นี่ดิฉัน ยังไม่เข็ดอีก ต้องเริ่มสะสมแต้ม แล้วเว้ย แล้วครับ แล้วค่ะ แบบนี้
จะยังไง ก็จงอย่าประมาท เพราะ ควรยึด ทาน ศีล ภาวนา ไว้ตลอดนะครับ ขอเป็นแรงใจให้เพื่อนๆ ทุกท่านครับ :0)

     จงทำสิ่งดีๆ ไม่ใช่เอาหน้า แต่เอาแต้มเก็บไว้ดูเอง เวลาท้อ ครับผม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
30 มกราคม พ.ศ.2558

Monday, January 19, 2015

บทความตอนที่ 13: พลังของสมาธิ กับ การใช้ชีวิต

สวัสดีครับ

       เมื่อเรามีการฝึกสมาธิ จะมีสิ่งใดเกิดกับเราบ้าง
ควรปฏิบัติโดยใช้เวลา และ จำนวนครั้งที่มากพอ ถ้าสามารถทำทุกวันจะดีมาก โดยควรกระทำ
ต่อเนื่อง ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น โดยไม่ต้องรีบ ไม่มีความอยาก หากจะพอระลึกบ้าง
ก็ควรจะ ทำสมาธิเพื่อสั่งสม บุญบารมี ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เป็นต้น

1. สมาธิจะทำให้เรา รู้ขอบเขต จะกลายเป็นคนไม่ ตึงเกิน หรือ หย่อนเกิน
2. จะทำให้พบข้อดี ข้อเสีย ของตนเอง ยิ่งขอเสีย จะสังเกต ขึ้นมาเฉยๆ นั่นเพราะ
       มีตัว สติ ที่มากขึ้น และช่วยให้เรา ระลึกได้ และ เริ่มคิดลด สิ่งที่ เสียๆ นั้นออกไปจากตัว
    ของเรา เช่น
            -คนที่ห้องรก จะเริ่มจัดห้อง
            -คนที่ ชอบเบื่อเซ็ง ก็จะดีขึ้น
            -จะเป็นเหมือน น้ำทิพย์ ชโลมใจ ทำให้เริ่มลงมือทำ สิ่งดีๆ ให้กับตัว ในด้านต่างๆ

3. ผู้คนจะดีกับเรา ร้ายมาก จะ ดีขึ้น เฉยๆ จะดีมาก คือ เปลี่ยน เวรกรรม ปัจจุบันได้ ในเรื่องแบบนี้
     จากที่สังเกตมากับตัว การปฏิสัมพันธ์กับคน จะลื่นขึ้น สบายขึ้น แต่ ควรมี หลัก อุเบกขา รองรับด้วย
   คือ เราก็มีกรรมของเรา เขาก็มีกรรมของเขา  สัตว์ทั้งหลายล้วนมีกรรมของตัวเอง  ท่องไว้ครับ คนที่
อารมณ์ร้อน โกรธคนง่าย ท่องไว้ จะลื่นมากๆ ในการพบปะกับคน เนื่องจากสมาธินั้น คนที่ทำใหม่ๆ แม้จะเก่าๆ ก็จะทำให้ใจเรา ไวขึ้นสำหรับบางคน กลายเป็น โกรธไว ไปก็มีครับ


4. คนทำสมาธิ ต้องมีเมตตาธรรม แนะนำ ให้เจริญ พรหมวิหาร 4 ไปด้วย ครับ จะได้ คุมไว้แต่ต้น ขอให้เรามี เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา คุมจิตใจไว้ ตั้งใจว่า จะทำให้ดีที่สุด ไม่ทิ้ง พรหมวิหาร 4 รับรอง ไม่มีการฟุ้งเฟ้อ หรือกลายเป็นคน จิตไว เพราะ มันมีพื้นฐาน มาจาก ก่อนจะทำอะไร มีเมตตา มี กรุณา มีมุฑิตา มีอุเบกขา แล้วหรือยัง  พอสติคิดได้ เราก็จะหยุด และ ไม่กระทำอะไร รุนแรง

    ทำไมคนทำสมาธิต้องมี พรหมวิหาร 4 นั่นเพราะ พอคุณ โลภ โกรธ หลง แรงๆ เข้าที่ มันจะเกิดคำถาม ทำไมทำสมาธิแล้วยังมีเรืองแบบนี้ แรงๆ  หากเป็นกรรมของเราจะต้องเจอ แบบนี้ทำอย่างไรได้ครับ เจอก็ต้องเจอ แต่ หลายๆ ครั้งในช่วงแรก หากเราเอา พรหมวิหาร 4 มาจับ หนักจะกลายเป็นเบา ทุกอย่างจะลดลงไปมาก เราก็จะได้ ไม่มีข้อ ฟุ้งซ่าน สงสัย ทำให้องค์สมาธิเสีย คือ นิวรณ์ นั่นเอง

     มีผู้คนมากมาย ที่รู้กันว่า รู้จักธรรมะดีๆ แต่ ผมไปอ่านเจอใน ส่วนของทางวิปัสนา จะมีปัญญาแบ่งออกไปหลายแบบ เช่น ปัญญาจาการฟัง ปัญญาจากการคิดนึกเอา และ ปัญญาจากการรู้แล้วเข้าใจจริงๆ ยกตัวอย่าง เรามีปัญญาเรื่อง พรหมวิหาร 4 ปกติเราจะคิดว่าเรารู้แล้ว ก็จบ รู้มากกว่าคนอื่นแล้ว มีธรรมะแล้ว
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ นะครับ

        คือ มันอาจเป็นพรหมวิหาร 4 จากการฟังเขามา
              มันอาจเป็นพรหมวิหาร 4 แบบนึกคิดว่า แบบนั้นแบบนี้ หรือ หลงคิดว่า เราทำครบ ทำถูกแล้ว
               มันอาจเป็นปัญญาแท้ๆ คือ เข้าใจ และ ทำพรหมวิหาร 4 จริง

   หากจะให้เห็นภาพก็   เราฟังวิธีเลี้ยงลูกด้วยความรัก เราแค่รู้ ต่อมา เราเลี้ยงลูกของเราจริงๆ เราเชื่อว่า เรารักลูกมากแล้ว ทำครบตามหลักวิชา  แต่ปัญญาสุดท้ายคือ ความรักของแม่ ที่ แม่ทั่วโลกลึกซึ้งต่างกันและเขาก็อาจเลี้ยงลูกได้ดีกว่าเราแบบนี้ คือ ของเขาแท้กว่า ดีกว่าแบบนี้

  การศึกษาธรรมะจึงควรทำให้ได้จริงๆ ครับ ทำจนเป็นนิสัย นั่นล่ะผมว่านะ นานปีเข้าทำได้จริงมันเป็นนิสัยได้จริงๆ นะครับ นี่ล่ะที่คนเลิกปฏิบัติธรรมไป หลายคน เพราะ ใช้ธรรมะครบแล้ว แต่ มันไม่ได้ใช้จริงๆ สักข้อนั่นเอง...

      บางคนยิ่งทำสมาธิ ยิ่งดี บางคนไม่เป็นแบบนั้น เหมือน มีมารมาขวาง ต้องแก้ด้วย 2 ข้อคือ

        1. กัดไม่ปล่อย   บอกแล้วว่า อุเบกขา คือ เราก็มีกรรมของเรา   เขาก็มีกรรมของเขา สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง   เราตามทันรู้ทัน จะปฏิบัติสมาธิ อย่างตั้งใจ (ไม่เครียด ไม่อยาก ทำตามคำพระท่านสอนพอ) หากจะได้ มันได้เอง หากไม่ได้อะไรเลยจนตาย ก็ยังได้ อานิสงส์ จากการบำเพ็ญสมาธิ ล่ะ ไม่มีอะไรที่ทำเสียไปเปล่าๆ  เอาเป็นว่า ไม่เลิกปฏิบัติสมาธิ ตลอดชีวิต ทำให้ถูกแบบแผน ตามปรากฎในพระไตรปิฏก เป็นพอ มีครูแนะนำ ที่ถูกต้อง ยิ่งดี หากเป็น สมถภาวนา มี 40 กอง หรือ วิธี ในการทำสมาธิ ก็หาที่ถูกจริตกับตัว อย่างผม ใช้ อานาปานสติ แบบอื่นๆ เช่น การเจริญ อุเบกขา นี่ก็ใช่ และอื่นๆ อีกมากมาย
เพียงแต่ว่า ท่านว่า ยังแยกออกไป เป็น ชนิดที่ทำแล้วได้ ฌาน 4 กับ ไม่ได้ ก็มีครับ อ่านศึกษากันดีๆ บางคนเน้นไปทาง วิปัสนา อันนี้ ใช้ฌาน 1 หรือ ไม่ใช้ยังได้ แบบนี้ ลองศึกษากันดูครับ

         2. มีพรหมวิหาร 4

เอ้าแถมอีกข้อ

          3. จงคิดดี พูดดี และ ทำดี

    สมเด็จพระสังฆราช พระญาณสังวร ท่านตรัสว่า หากทำข้อ 3. ได้ดี จะทำให้พ้น บาปกรรม ที่ตามจะเอาคืนจากเราได้ในชาติปัจจุบัน ขณะที่เราจะ คิดดี พูดดี ทำดี เป็นนิสัย ผมเอามาจาก หนังสือเล่มเล็กๆ "ชีวิตนี้สั้นนัก" ที่ท่านทรงนิพนธ์เอาไว้ หรือในเล่มเดียวกัน การบริกรรม พุทโธๆๆ ตลอดเวลา ก็ช่วยได้ จากหนักเป็นเบา

     แน่ล่ะ การจะทำแบบนั้นได้ ก็ควรสร้างมงคลให้ชีวิต ดังนั้น เราควร ศึกษาว่า มงคล 38 ประการนั้นทำอย่างไร อีกด้วย

  จำไว้นะครับ คนที่เก่งทางเหตุผลมากๆ คิดลึกๆ นี่ ข้อ 3. คิดดี พูดดี ทำดี นี่ ทำได้ยากนะครับ เพราะเรามันพวกช่างคิด ทำให้ บางที คิดเยอะ จน คิดดี เป็น คิดเกินดีไป ระวัง แต่หากทำได้ ชีวิต เปลี่ยน ทันที

   
         5.โชคเล็กใหญ่ จะถูกดึงดูดเข้าหาตัว ให้ทำสมาธิ สม่ำเสมอ จะดี จะร้าย มีสมาธิเป็นเพื่อน คุณจะเห็นเอง

         6. สมาธิ ทำให้สุขภาพดีขึ้น เรามักจะ หายใจเข้า ลึกไปถึงใต้สะดือ หายใจลึกๆ ช้าๆ บางคนมารู้ตัวว่าหายใจไม่เต็มปอด มาตลอดชีวิต จากสมาธินี่เอง ในทางสมาธิแบบสมถภาวนา อาจก่อให้เกิด องค์สมาธิ ฌาน อภิญญา กับคนที่ปฏิบัติถูกทาง เอาชนะนิวรณ์ได้ และ ในทาง วิปัสนา ยังอาจทำให้เราเข้าสู่เขตนิพพานอีกด้วย แล้วแต่จะปฏิบัติ แบบ สมถภาวนา หรือ วิปัสนภาวนา

       อย่างไรก็ตาม หากเราศึกษาเรื่อง การรักษาด้วยลมปราณ หรือ การฝึกพลังลมปราณ เราจะพบว่า มีเรื่องของ จักระ เข้ามาช่วยอธิบาย ว่าทำไมทำสมาธิแล้ว แข็งแรง นั่นเพราะ มีจักระอย่างน้อย 2 ดวงที่เกี่ยข้อง นั่นคือ

          1.จักรสะดือ   2. จักรม้าม

คำเตือน:

     ห้ามเอาไปฝึกตรงๆ โดยคิดประจุพลังปราณ ไปยังจักรใดจักรหนึ่ง ที่ผมยกตัวอย่างมา โดยไม่ได้ทำสมาธิ แล้วเดินปราณ ตามที่ตัวเองคิด อย่าเด็ดขาดนะครับ รวมทั้งการฝึกชำระล้างและประจุพลังในจักระ ตัวอื่นๆ ด้วย ถ้าเป็นตำราที่โอเค มีอาจารย์น่าเชื่อถือ ก็โอเค แต่หากไปอ่านในเว็บมา หาที่มาไม่ได้ อย่าไปฝึกเองเด็ดขาดนะครับ
       ในสายของ พลังปราณ เชื่อกันว่า ปราณ จะฟังจิตของเรา ดังนั้น หากเราไปคิดฝึกตรงๆ ต้องมีครู ที่รู้เรื่องนี้ครับ แต่การทำสมาธิเราไม่ได้คิดถึงปราณเราคิดถึงเรื่อง สมาธิเช่นกำหนดตามลมหายใจ แบบนี้ เราไม่ได้ไปสั่งปราณตรงๆ ไม่เกี่ยวกัน เป็น ภาษาที่ทางธรรมเรียกว่า วิตก วิจาร คือ เครื่องมือยกจิตเข้าสู่สมาธิ  และยังประคองสมาธิไว้ได้ แบบนี้ เพียงแต่พอทำไปนานๆ ปราณมันจัดการของมันเอง เท่านั้น

        ทางพุทธเราไม่ได้เน้นเรื่องปราณ ฝึกพลัง แต่ทางอินเดีย จีน เขาจะมีฝึกโดยตรงครับ ดังพระท่านว่า ท่านสอนเราเพียงใบไม้หยิบมือเดียว ที่พาให้บรรลุธรรม ได้นิพพานได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องสอนเรื่องพลังปราณ นั่นเอง

       ตามที่ผมพอศึกษามาบ้าง จะพบว่า การฝึกปราณของทางอินเดีย เขาต้องทำสมาธิ นำก่อนนะครับ ดังนั้น จะยังไงต้องมีสมาธินำก่อนเสมอ 

                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


      โดยปกติ จักระ 2 ตัวนี้ จะทำงานด้วยกันโดยอัตโนมัติ นั่นคือ จักรสะดือ ดี จักรม้ามจะดีด้วย โดยจักรสะดือ เป็นตัวรวบรวมปราณ และส่งต่อให้จักรม้าม เป็นตัวย่อยพลัง แล้วกระจาย ต่อไปยัง ยังจักระหลักๆ ที่เหลือจนครบ ดังนั้น จักรใดพลังเสื่อม ไม่สมบูรณ์ ก็ได้รับการชำระล้างไปในตัว ขณะทำสมาธิ เพราะเราทำกัน นานเช่น 30 - 60 นาที นั่นเอง

       เรื่องนี้ไม่มีการเชื่อมโยงกัน แต่ผม ศึกษามาพอสมควรก็เห็นว่า จุดนี้เชื่อมโยง การทำสมาธิเข้ากับการฝึกลมปราณได้ อย่างลงตัว

       ขอสังเกตุ: เรื่องจักระ และ ลมปราณ มีอยู่ทั่วโลก จักระหลักๆ ก็คล้ายกัน เกือบจะเหมือนกันด้วยซ้ำ ทีแรกผมคิดว่า มีแค่ในอินเดีย ที่ไหนได้ อียิปต์ก็มี และทีอื่นๆ ขนาดว่า เขาคิดว่า หินปิระมิดก้อนใหญ่ ที่ยกขึ้นไว้บนที่สูงๆ ได้นั้น มาจากพลังลมปราณนี่เอง ลองหาอ่านกันครับ อันนี้่อ่านผ่านๆ ตา

        นักกีฬาก็เช่นกัน เขาอาจจะไม่ได้เจตนา หายใจเข้าลึกไปถึงสะดือ แต่ การหายใจในการกีฬา สังเกตดีๆ มันก็หายใจเต็มปอดนั่นล่ะ มันก็คล้ายๆ กัน ยังไง จักรสะดือต้องได้รับปราณ แน่นอน

  และยังมี ประโยชน์อีกมากหลาย ต้องทำเองจึงจะทราบครับ

     อ้อ แถมอีกข้อ

     7. คนที่ได้ สมาธิขั้นต้นๆ เช่น อุปจราสมาธิ ก็ยังพบว่า มันไม่ใช่สุข แบบที่เราเคยเห็นในโลก นี่ยังห่างจากฌานตั้งเยอะนะครับ แล้วก็เข้าสู่โลกของฌาน ในระดับ อัปปมาสมาธิ ล่ะ มันจะขนาดไหน โลกที่คุณสงบเย็น เห็น วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา โลกนี้มีอะไรให้ค้นหาอีกเพียบ ไม่ลองมาค้นหากันบ้างหรือครับ :0)  ยิ่งฌานสูงขึ้นไป จะยิ่งละเอียดขนาดไหนแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เป็นชาวพุทธ ก็ต้องไม่ลืม
วิปัสนานะครับ เพราะ นิพพาน คือ สุขที่แท้จริง ครับ ลองต่อยอดกันเองครับ

 เอาล่ะวันนี้เท่านี้กันก่อน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)


   

       
     


Monday, January 12, 2015

บทความตอนที่ 12: กลวิธีในการออกจากทุกข์ ขั้นต้น แบบสมาธิและแบบโยคะ

สวัสดีครับ

       ข้อสังเกตุ ในการเขียนบทความนี้คือ มีอยู่ระยะหนึ่งมีปัญหารบกวนจิตใจผมมาก จนน่ารำคาญใจ ยังไงก็ถอนไม่ออก ปกติจะใช้การออกกำลังกายเข้าช่วย แต่การทำงานตอนนี้ ไม่มีเวลาแล้วครับ ตื่นไปทำงานราวๆ 6 โมงเช้ากลับบ้าน เกือบ 2 ทุ่ม ชีวิตเปลี่ยนขนาดนี้ งงสิครับ

        แต่แล้ววันหนึ่ง ผมเพียงได้ดูหนังที่ชอบ แค่ต้นๆ เรื่อง ทุกข์ก็คลาย เปิดความสุข แบบสมัยก่อนกลับมาเฉยๆ และเป็นอยู่แบบนั้น นานทั้งวัน ก็ตกใจว่า เพราะอะไร

       ผมนั่งคิดก็นึกได้ระยะนี้ เรา นั่งสมาธิบ่อย ไม่ใช่เพราะ เพื่อหนีทุกข์นะครับ ผมทำมาก่อน ชีวิตเปลี่ยนในปี สองปีนี้ นานแล้ว เพราะผมคิดว่า

       ชีวิตนี้ เราได้เกิดเป็นคน นี่ ถือว่ามีบุญนะ แต่ก็ใช้ บุญกุศลไปเยอะนะ ไม่งั้นไม่ได้เกิดเป็นคนหรอก ยังประมาทอีก ชาติหน้า กุศลเหลือเท่าใดหว่า ใครกุศลมาก ยังมีอีกเป็นกระบุง ก็วางใจ แล้วคนที่น้อยจนปริ่มๆ ล่ะ จะทำไง

      มัวหลงระเริง แล้ว ชาติหน้าทำไงล่ะเนี่ย

      เคยได้ยินแนวคิดเรื่องกุศล ผลบุญ กฎแห่งกรรมนำเกิด แล้ว หนาวสะท้าน เชื่อไหม หากเวรกรรมมันตามทัน เป็นเทวดาอยู่ดีๆ หมดบุญ ลงมาเกิดเป็น หมา ก็เป็นได้ แล้วยังประมาทอีกหรือ

      ผมจึงทำสมาธิเป็นกิจวัตร เพราะ

1.ไม่ต้องลงทุน จัดเตรียมมาก
 2. ทำได้ในห้องพัก หรือ ทุกที่
  3. ทำบ่อยๆ พระท่านว่า ให้ผลมาก มีอานิสงส์มาก

  ผมต้องมาขึ้นรถก่อน 7 โมงเช้า เวลาตักบาตร ไม่มีครับ เสาร์อาทิตย์เอาไว้พักจริงๆ เพราะ เดินทางนี่ วันละ ราวๆ 3 ชั่วโมงรวมไปกลับ ชีวิตนั่งบนรถ เวลาว่างแทบไม่มี มีก็เอาไว้พักผ่อนแล้วครับ การนั่งสมาธิจึงเป็น อีกทางที่เหลืออยู่ ที่เราคว้าไว้ได้

     ส่วนการไม่เพิ่มกุศลเลย ไม่มีสำหรับผม เพราะอย่างที่บอก กลัวว่า ทุนชาติหน้าเหลือน้อยครับ เป็นคนดีๆ ไปเกิดเป็นหมา นี่ เซ็ง สมัยนี้เขาเลี้ยงดี มีเสริมนั่นนี่ กลายเป็น สุนัขอายุยืนไม่ตายง่ายๆ อีก เจ้าของเขาหวังดี แต่ หากเรารู้ว่าจะอยู่เป็น สุนัขนานๆ คนอย่างเราจะเอาหรือ จริงไหม

     และสำคัญ สมาธิ หากเราประคองดี ประคองเป็น มันประกัน ที่ไป หรือ สุขคติให้เราได้ ตามคำพระท่านว่า เช่น หากได้ ฌานขั้นต้นๆ ก็ พรหมขั้นต้นๆ ครับ อย่าเพิ่งว่า ผมเพ้อเจ้อ นี่มีอยู่ในพระไตรปิฏกน่ะครับ ผมศรัทธาว่ามีจริงๆ  สวรรค์ นรก มีจริง เทวดา พรหม ก็ต้องมีจริง ไม่งั้น คนกลับชาติมาเกิดจะมีได้ไงจริงไหม

        สมาธิขั้นต้น ฌาน 1 ก็ได้เป็น พรหมแล้วนะครับ เหมือนไม่มีอะไร เพราะพรหมมีหลายระดับ แต่พรหม สูงกว่า เทวดา เราข้ามไปได้ ตั้ง 6 ชั้นเลยนะครับ ตั้งแต่ชั้นเทวดา ฉกามาพจร ไปจน ปรนิมมิตตวะสวัสดี ข้ามไปเลย 6 ช้ัน เป็นพรหมเลย แล้วไม่ดีตรงไหน?

        บางคนว่า ไม่มีจริงหรอก ผมขอเถียง เอาง่ายๆ คนกลับชาติมาเกิด มีจริงนะครับ ฝรั่งเอาไปวิจัยกันโครมๆ เราคนเอเชีย เจ้าขององค์ความรู้ สวรรค์ นรกๆ แท้ๆ กระแดะ ทำเป็นไม่เชื่อ แซะงั้น บ้าจริงๆ

       เอ้ากลับเข้าเรื่อง พบว่า เพราะทำสมาธินี่เอง แม้จะยังไปไม่ถึงไหน ตามกำลังสติปัญญาที่ตอนนี้ยังน้อยๆ แต่ก็ได้อะไรมาพอควร สิ่งที่พบจากการทำสมาธิต่อเนื่อง สักราวๆ ครึ่งปี ถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น แบบยังไม่ได้ ฌานนะครับ มีดังนี้

   1. อาจเปลี่ยน ร้ายให้กลายเป็นดี ผมไม่ขอ โม้ แต่ต้องลองทำเอง นี่ล่ะผลจากที่พระท่านว่า ทำแล้วให้ผลมาก อานิสงค์มาก

   2. ผู้คนกลับจากเฉยๆ เป็นรักเรา จากรัก จะรักมากขึ้น จากเกลียด จะเว้นเรา

  3. สุขภาพดี เช่น นอนหลับสนิทขึ้น ร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้น ช่วยให้อาการ เจ็บป่วย หายเร็วกว่าปกติ
      ตามแนวคิดการรักษาด้วยปราณ หรือ ชี่ จะรับรองไว้ว่า ร่างกายประกอบขึ้น ด้วย จิต กายทิพย์ กายหยาบ และการทำสมาธิจะรักษากับเพิ่มพลังกายทิพย์โดยตรง เมื่อกายทิพย์สดชื่น กายหยาบก็จะสดชื่น อาการเครียด นอนไม่หลับ ความดัน อะไรๆ จะทุเลาและหายได้ ยกเว้นกรณี เป็น โรคจากกรรมเก่า อันนี้ อาจเพียงทุเลาครับ

  4. มีพลังผลักดัน ที่ดันให้เราทำให้ชีวิตของเราให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ สังเกตได้ง่ายที่สุดจาก ห้องพักของคุณ ลองทำจะรู้เอง

  5.ทำสมาธิได้ง่ายขึ้นๆ ก้าวหน้าขึ้น

  6. มีโอกาสต่อยอดศาสตร์ทางจิต ได้ไปเรื่อยๆ

  เอาเท่านี้ก่อนครับ

     น่าจะเป็นสมาธินี่ล่ะครับ เพียงแต่ เราทำไว้มาก แต่ไม่รู้ตัว พอจิตมันไปจับกับสิ่งที่ชอบ พลังสมาธิก็อาจจะเคลื่อนไหว ไปทางนั้น สร้างความสุขได้อย่างประหลาด เพราะพลังสมาธิมากกว่าคนปกติ คือ ยังเป็นสมาธิขั้นต่ำมากๆ เกิดสุขจากการได้ทำตามความพอใจ ตัณหา นั่นเอง ทว่าในระดับฌาน จะสุขอีกแบบครับ มากกว่านี้เป็นพันๆเท่า

     แต่เพียงนี้มันก็สร้างความ ตะลึงให้เราไม่น้อย ผมไม่ได้สุขใจแบบนี้มาได้ราวๆ 8-9 เดือนแล้ว หลังเกิดอาการเจ็บหลัง และ ต้องย้ายที่ทำงาน

      มันยิ่งทำให้เรามีศรัทธา เพราะขนาดสมาธิชั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เจือตัณหา ยังให้เรากลับเป็นสุขได้ แม้จะเพียงราวๆ 24 ชั่วโมง แต่มันทำให้เราเกิดพลังใจ ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริงๆ ครับ

      เราจึงมั่นใจว่า ทำสมาธิแต่ยังอยู่ในโลกวัตถุได้ครับ

     ดังนั้นใครอยากจะมีสุข ที่หวนคืน ก็จงค่อยๆ ทำสมาธิ สักวันละ 10 นาที เพิ่มไปเรื่อย จนนั่งได้ ราวๆ 40 นาทีนี่ผมถือว่าผ่าน ทำต่อไปสักหลายเดือน คุณก็จะได้สุขของคุณคืนมาแบบผม และหากมีวาสนาก็เอาให้ได้ ฌาน แล้วทำวิปัสนาด้วย เอาให้ถึง โสดาบัน นิพพานได้ จะดีมาก

      อย่ามองสมาธิเป็นเรื่องของพระครับ เพราะสมัยโบราณ คนทำกันได้เยอะแยะครับ
(แต่วิปัสนา นี่ของพระจริงๆ เพราะมีเกิดได้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่มีครับ)

   เอ้าอีกทางของฝั่งโยคะ ลองวิธีนี้ ครับ

แบบที่หนึ่ง ส่งความสุข ความปรารถนาดีให้ตัวเอง ระดับอณูเซลล์
โยคีโบราณ เขาทำแบบนี้

 1.นั่งทำสมาธิ เช่นกำหนดลมหายใจ เข้าออก เข้าท้องป่อง ออกท้องแฟบ ช้าๆ ให้ได้ สัก 30 นาทีขึ้นไป เน้นว่ามีสมาธิจริงๆ
  2. จากกำลังสมาธิที่เกิดในข้อ 1. ให้ หายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ ช้าๆ ตอนหายใจออกให้ คิดว่า ส่งพลังปราณ แห่งความสุข ความปรารถนาดี ไปทุกอณูเซลล์ ของคุณ ขอให้เซลล์เป็นสุข มีพลัง กระชุ่มกระชวย ให้ทำไปเรื่อยๆ ไม่มีผลเสียครับ

  เชื่อกันว่า จะทำให้ ร่างกายสดชื่นมีความสุข โรคต่างๆ จะลดลงครับ สร้างสุขในขณะที่ทำได้ดีทีเดียว มีวิธีฝึกพลังจิตแบบนี้อีกเป็นสิบๆ วิธี วันหน้าจะเอามาถ่ายทอดกันครับ

    แต่จำไว้ว่า ให้ทำในขณะที่จิตเป็นสมาธิเสมอ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)