Monday, February 23, 2015

บทความที่ 16: วิธีรับมือปีชง แบบชาวพุทธ :0)

สวัสดีครับ

    ไม่ทันไร ตรุษจีนก็ผ่านไปอีกปีแล้ว มีข้อสังเกต เล่นๆ ว่า ปีใดผมกลับไปร่วมงาน อะไรๆ ก็ดีขึ้นเช่น การเงิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ปีไหนไม่กลับ ก็งั้นๆ อย่างไรก็เป็นการแสดงความเคารพบรรพบุรุษครับ ไปร่วมงานได้ ก็สมควรไป เรื่องอื่นถ้าใช่ เขาก็มาเอง

     ตรุษจีนมาพร้อมกับความเชื่อ ทางโหราศาสตร์อีกด้วย ซึ่ง จริงหรือหลอก เราก็ไม่รู้ มาพร้อมกับคำว่า ปีชง คนที่เกิดนักษัตรอะไร และ ในปีในเป็นปีชง เขานับจากอะไร ก็ตรงช่วง ฉลองปีใหม่ตรุษจีนนี่ล่ะครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผมเคยอ่านตำราฮวงจุ้ย มาแบบผิวเผิน พอทราบว่า ส่วนมาก คนจีน เขาจะเปลี่ยนปีกันช่วง วันที่ 3,4 หรือ 5 กุมภาพันธ์ นี่ล่ะ เอาเป็นว่าก็ช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ของบ้านเราครับ

      ดังนั้น ใครเชื่อปีชง แต่อย่าไปงมงายนะครับ พอเข้าตรุษจีน ปีใหม่ ก็มีเฮ ทำไมน่ะหรือ ก็ปีชง ผ่านไปแล้วไงครับ อะไรๆ สำหรับคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็คงจะดีขึ้น จริงไหม คนที่ไม่เชื่อ เขาคงไม่สนใจหรอก เพราะ ดีหรือร้าย ฉันก็ผ่านของฉันมา

      แต่สำหรับคนที่เป็นปีชง พอตรุษจีนเข้ามา เขาอาจจะโล่งใจกันมาก เพราะ สิ่งไม่ดีได้ผ่านไปแล้ว ทีนี้มันก็เกิดเรื่องราวให้คนได้ สนใจกัน เช่น เมื่อสัปดาห์ก่อน มีข่าว พระเอกดังควบมอเตอรไซต์ ประสบอุบัติเหตุ พอดี ในวันแรกของปีชง เสียด้วย อะไรแบบนี้ และ มีติดๆ กัน อีก 2-3 วัน แถมบางคน ชงก่อนปีใหม่คือ เกิดก่อนแค่สัปดาห์เดียวก่อนปีใหม่ แบบนี้

        ข่าวสารแนวนี้ทำให้ กระแสปีชงกลับมาเป็นที่สนใจของคนไทยจนได้ คุณว่าไหม ชงหรือไม่ชง มีจริงไหม สำหรับชาวพุทธ พระท่านว่า

         เวลาไหนที่เราทำสิ่งอันเป็นกุศล เป็นมงคล ขณะนั้นเรียกว่า เวลาดี ฤกษ์ดี ชั่วขณะดี 

ท่านว่าไว้แนวๆ นี้

...ผมดัดแปลงมาพูดนะครับ ลองไปหาฉบับจริงมาอ่านกันเอง ต้องบอก เพราะเดี๋ยวพูดไม่ถูก ไม่ครบ จะกลายเป็น ตู่พระพุทธพจน์อีก ตกนรกครับ ไม่เอาๆ ไม่ครบ ไม่ชัวร์ ต้องบอกกันไว้ล่วงหน้าครับ

        ข้อสังเกต สำหรับคนที่ผ่านปีชง บางคนที่เขาเล่ากันมา นะครับ

     คนพวกนี้เขาไม่ได้เชื่ออะไรปีชงเลย แต่ปีที่มันส่งผลไม่ดี เขามีข้อสังเกตุดังนี้ครับ

 1.เริ่มจาก ช่วงปีก่อนหน้า อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ สักหนึ่ง หรือ สองอย่าง และดูเหมือนไม่มีอะไร
 2.พอเข้าปีใหม่จีน บางคนอาจไม่เห็นว่ามีอะไร แต่ บางคน ก็เกิดเหตุใหญ่ๆ ขึ้นมาอีก
  3. เกิดทีแรก ดังข้อ 2. พอผ่าน จะทำให้เราประมาทครับ และคิดว่าไม่มีอะไร
  4. แล้วอาจมีเรื่องให้เราจิตใจขุ่นมัวมากๆ เพลียมาก จนไม่มีสมาธิ สติกับตัวเอง
  5. แล้วมันก็ โชะเลยครับ มาแรงๆ หนักๆ สมกับปีชงครับ

     คือมีการสับขาหลอก แล้ว ยิงประตูตอนเผลอ!!!

  หากมองดีๆ แล้วเชื่อมโยงเข้ากับเรื่อง กรรม ทั้งดี และ เลว เราจะพบว่า ไอ้ตอนยิงประตู หลังจากสับขาหลอกนี่ล่ะ สำคัญ เพราะมันมี เส้นทางของ

                ใจขุ่นมัว อ่อนเพลีย ทำให้ กระแส โลภ โกรธ หลง ทั้งหมด หรือ อย่างใดอย่างหนึ่งมันแรง แล้วไอ้ตัวที่แรงมันก็เหมือน เป็น กุญแจประตูบานใหญ่ๆ ที่ กรรมไม่ดีในอดีต หรือ ปัจจุบัน ที่แรงๆ มันรออยู่ มันไขก็อกและปล่อยแรงดันเต็มๆ มาใส่เราได้

              จากธรรมชาติของกฎแห่งกรรม ที่ผมพอศึกษามาบ้าง ผมมีแนวคิดว่า หากเรา ใจผ่องใส และ มีสติ มีสมาธิ อะไรก็ผ่านได้ครับ คือ เอากุญแจบ้าๆ ความขุ่นมัว โยนทิ้งไปครับ ประตูที่เหมือน ประตูน้ำของเขื่อน กรรมไม่ดี มันจะได้ เปิดได้ไม่มาก เปิดแต่ช่องเล็กๆ ไม่ใช่มาไขก็อก แล้วเทใส่เต็มๆ ช่วงปีชง

              คุณว่า คนที่เพิ่งผ่านเรื่องแรงๆ แบบปีชง ที่คิดว่าแรงแล้ว ย่อมประมาทใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้ว มันอาจสับขาหลอก ดังนั้น ต้องไม่ประมาทครับ มีสติ มีสมาธิเสมอ และอย่าปล่อยให้ใจ ห้อยครับ
หรือ ชื่อเหมือนคอลัมน์ใน นิตยสารคู่สร้าง คู่สมที่ว่า ผัวเมียละเหี่ยใจ ไม้เอกนะครับ สะกดดีๆ ฮ่ะๆๆๆ

  อย่าให้ใจเรามัน ห้อย ละเหี่ย ขุ่นมัว ขณะจะทำกิจกรรมใดๆ อาจจะ ขุ่นๆ มึนมัวในที่ปลอดภัย นิดๆ หน่อยๆ ได้ แต่พอจะเริ่มทำกิจกรรมใดๆ ให้ปรับใจทันทีครับ ให้ดีขึ้น สดใสขึ้น

        วิธีปรับจิตใจตำรับพระญาณสังวร พระสังฆราช ผมขออัญเชิญมาไว้ ณ. ที่นี้ 2 ข้อคือ

1. ท่านให้ คิดดี พูดดี และ ทำดี ครับ
 2. ให้ภาวนา พุทโธๆๆ ไว้ตลอดเวลา เป็นพุทธานุสติ มีพลานุภาพมากๆ

   ฉุกเฉิน ก็พุทโธๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ครับ

  มันแปลกว่า จิตใจมันฟื้นกลับคืนดี ในทันทีครับ ไม่เชื่อให้ลองดู คนที่ใจหดหู่บ่อยๆ ในช่วงที่กำลัง ซวยๆ ให้ท่องพุทโธๆ ตามลมหายใจเข้าออกครับ ชีวิตดีขึ้นจริงๆ มันเห็นผลช่วง ที่ซวยๆ แบบทันตานี่ล่ะ ช่วง มีความสุขเราก็พอสดชื่น ไม่รู้สึกดีขนาดนี้ ไม่เชื่อลองครับ (ขออภัย ซวย เป็นคำหยาบไม่หน่อยจ้า :0) )

    ปีชง จะมีจริง หรือ ไม่จริง เราไม่รู้ แต่ พุทธพจน์นั้นเป็นคำจริงเสมอ ครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขในปีใหม่จีน ครับผม

สวัสดีครับ

Monday, February 9, 2015

บทความพิเศษ: สืบเนื่องจากอาการปวดหลัง เมื่อเริ่มทุเลาแล้วจะทำอย่างไร ?

สวัสดีครับ

   ผมเป็นอาการปวดหลังมา ก็ราวๆ 10 เดือนแล้วครับ ชีวิตได้พบอะไรมากมาย และ ได้พบว่า เราได้ศึกษามามาก เรามีความรู้บางอย่างที่ผ่านมาจากประสบการณ์ ที่นำมาใช้ได้ แต่ขณะเดียวกัน เราก็พบว่า เราได้เรียนวิชาชีวิต เพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่คิดว่า เราผ่านอะไรมามากแล้ว

     ถือว่าได้เรียนวิชาใหม่เพิ่มครับ เอ้ามาว่ากันต่อสำหรับคนที่ปวดหลัง แบบผม และมีอาการขา อ่อนแรง ซึ่ง ที่ผมเป็นนี่ถือว่าน้อยครับ คนที่เป็นมาก อาจต้องฟื้นตัวนานเลย แต่ผมก็เดินได้ปกติ มาตั้งแต่ปวดหลังใหม่ๆ คือมีอาการตรงก้น ที่มีกล้ามเนื้อกลูเดียส อะไรนี่ล่ะ ร่วด้วย โดย ผมได้โชค ดังนี้

      1.ผมได้ทราบว่า อาการที่ปวดตรงก้น เข้าไปลึกๆ ที่ไม่หายเสียที มาจาก กล้าม กลูเตียส ถูกใช้งานผิดวิธี น่าจะใช่เพราะผม ไปนั่งเก้าอี้ ก้มเก็บของครับ แล้วนึกภาพคนพุงใหญ่ๆ ก้มเก็บของ คือเราเซฟเข่า เซฟหลัง แต่ดันมาใช้กล้ามที่ก้น ผิดท่าทางไป เลยยาว และก้มตัวเก็บของ กับ ขนของเยอะมากๆ  ติดๆ กันหลายวัน ข้ามสัปดาห์ คือประมาทว่า รู้วิธีใช้กล้ามเนื้อ และป้องกันอันตราย กับกล้ามเนื้อกลุ่มหนึ่งตามวิชาการ ที่ลืมกฎไม่หนึ่งข้อว่า ขณะที่เราออกแรง กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนได้มีส่วนร่วมในการออกกำลัง จะมากน้อย ก็เท่านั้นเอง แต่ครานี้ มันมาโดนกล้ามเนื้อที่เรา นึกไม่ถึงเข้านี่สิ คือ บริเวณหลังส่วนล่าง และ ก้น เต็มๆ ใครจะคาดคิด

         ผมได้ ตั้งสติ หลังเกิดอาการปวดอย่างรุนแรง ซึ่งต่อมามีผลยาวต่อมาอีก 6-7 เดือนหลังจากนั้น  ในเดือนแรกที่มีอาการ ชีวิตผมไม่ต้องทำไรครับ แค่นึกเรื่องปวด ก็หมดเวลาไปกับมันแล้ว น้ำหนักผมลดฮวบเลย เพราะ หนึ่งไปไหนไม่ไหว สองกลัวว่าน้ำหนักตัวจะทำให้เจ็บมาก กินก็กินน้อยลง คนมันรู้ตัวเอง
ผมค่อยๆ หาข้อมูล เริ่มเจอ จาก Youtube เช่น ท่ากายภาพต่างๆ ท่าโยคะ ท่ายืดเส้น ของสถาบันเช่น มหิดล และ ที่อื่นๆ รวมทั้งครูอาจารย์ สายต่างๆ ผมเห็นท่าไหน วิธีใดดีๆ ก็จะเอามาทำหมด โดยมีการทำแบบวิทยาศาสตร์ คือ

            1.ท่าไหนตรงกับเรา ก็เอามาทำ  ท่าไหนไม่ดี ทำแล้วเจ็บ ก็เปลี่ยนท่าใหม่มาแทน
             2.รวบรวมท่าดีๆ ไว้ได้จำนวนมากพอ และขยันทำครับ
     
        ก็ลองตามอ่านในบทความที่ผ่านๆ มาครับ สำคัญคือให้ทำ ช้าๆ ไม่รีบครับ

       ในเดือนแรก ผมพบวิธีคลายอาการกล้ามเนื้อหยุดทำงาน โดยผมพบว่ามันเป็นแบบนี้ เพราะเราใช้งานมันผิดท่า และมากเกินไป ทำให้ กล้ามเนื้อประท้วง โดยการหยุดทำงานตามปกติ และส่งผลให้เกิดการ เจ็บปวดอย่างรุนแรง กลางคืนผมนอนไม่หลับเลย ต้องนั่งหลับครับ นอนท่าไหนก็ไม่ได้ ผมเชื่อว่า นี่เป็น เรื่องของเวรกรรม ที่ผมคงไปทำอะไรไว้ครับ แต่ก็ได้ชดใช้ไปแล้วครับ ตามสมควร

        ผมค้นไปก็ได้ เบาะแส ก็ค้นต่อในเน็ต จนไปเจอท่า ที่ทำให้กล้ามเนื้อ กลูเตียส ฟื้นสภาพได้ เขาให้นั่งครับ บนเก้าอี้ หลังตรงๆ แล้วเกร็งแก้มก้น ขวา 10 นับ (แต่ละครั้ง เกร็งแล้วนับ 3วินาที พัก 1 วินาที) จากนั้น ให้เกร็งแก้มก้นซ้าย ทำแบบเดียวกัน เชื่อไหม ทำกลางวัน คืนนั้น ผมนอนหลับได้เลย นี่ล่ะ ผมต้อง กราบขอบพระคุณคนที่เผยแผ่วิชาไว้ ณ. ที่นี้ครับ ต่อมาก็ทำเป็นประจำ แล้วก็สามารถนอนหลับได้จริงๆ แต่อาการปวดยังมีอยู่มากครับ

       จากนั้นผมก็ทำโยคะท่าที่ทำได้ ท่าไหน สังหรณ์ว่า น่ากลัว อย่าทำ เอาไว้ก่อน แบบนี้ ท่าลมปราณบู๊ตึ้ง ยืดเส้น เอาหมด ทำเพียงวันละ 30-40 นาที ผมทำอยู่ราวๆ 2 เดือนก็ดีขึ้น โดยผมไม่ได้ใช้ยาเลย ใช้การทนเอาครับ ลำบากก็ตอน ตื่น ลุกนั่งจะรอนานหน่อยกว่าจะคลาย จนยืนได้

       ผ่านไป สัก 4 เดือนเริ่มเอาท่า ครึ่งเต่า หรือ ก้มกราบ แล้วยืดแขนไปด้านหน้าจนสุดมาลองทำ ปรากฎว่า อากรปวดหลังที่มีอาการหมอนรองเคลื่อน เริ่มดีขึ้น ทำไปเรื่อยๆ เอ้า กล้ามเนื้อก้น ที่ปวดมาก หายมาก่อนเลย งงครับ ต่อมา อาการปวดหลังมาก ก็หายดีอีก

      แต่อาการขาไม่ไปตามคิด คือ ยังยืนโยกเยก ต้องใช้ไม้เท้า มันดีขึ้นครับแบบก้าวกระโดด คือจริงๆ พอผ่านมา 7-8 เดือนอาจปล่อยไม้เท้าได้แล้ว แต่ผมยังต้องใช้เพราะ การทำงาน มี บันไดเยอะมากๆ
ชีวิตเริ่ม หายปวดมากขึ้น

        คนที่ปวดหลัง ปวดเรื้อรัง ระวังเรื่องกินด้วยครับ หลายคน น้ำหนักขึ้น เพราะ การกินมันทำให้เราเพลินครับ และ ความปวดมันทำให้เราเหนื่อย มันลวงเราได้ เรื่อง เหนื่อย ซึ่งปวดเหนื่อย ไม่ใช่ออกกำลังกายเหนื่อยๆ ดังนั้น กินมาก  ก็จะอ้วนได้

       เมื่อเริ่มแข็งแรง หายปวดมากขึ้น แต่เราใช้ไม้เท้า นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะเราอาจลืมท่าเดินครับ และของอะไรไม่ค่อยได้ใช้ มันจะฟื้นช้านะผมว่า แล้วผมทำอย่างไร

       พอดีคุณแม่ ก็เตือนว่า หากใช้ไม้เท้าต่อไปมันจะหายช้านะ ผมก็คิดว่าน่าจะจริง ผมจึงตัดสินใจ ลาพักร้อนครับ

    1.เพื่อมีเวลาต่อเนื่อง ที่มากพอครับในการ ฝึกเดินไม่ใช้ไม้เท้า โดยผมคงจะไปเดินในสวน ที่ผมไปประจำโดยตั้งใจว่า จะเดินวันละ ไม่ต่ำว่า 1 ชั่วโมง ทุกเช้า ช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มสปีด ไม่ต้องรีบครับ เอาให้ รู้หมดว่า ตรงไหน ยังอ่อน ไม่แข็งแรง ก็เดินไป

   2. สัก 9-10 วัน ครับต่อเนื่อง

 นี่เป็นแผนที่วางไว้ คือสัปดาห์หน้าผมพักร้อน เอาไว้ ผมจะมาเขียนให้อ่านกันอีกครั้งครับ ว่าหลังพักร้อน ราวๆ 10 วัน การเดินของผมเป็นอย่างไร

     อาการขาอ่อนแรง จากที่เคยอ่านมา มีทั้งแบบ เป็นมาก อันนี้ควรหาหมอให้เร็วๆ สำหรับคนมีอาการบ้าง สาเหตุมาจาก ความเจ็บปวด หรือการใช้งานกล้ามเนื้อ มากเกินไป มันส่งผลกระทบกับ เส้นประสาทครับ อาจจะเส้นประสาทโดยตรง หรือ ตัวรับสัญญาณ ก็ได้ วิธีที่ควรทำ คือ หาหมอได้ก็หา คนที่ดูแลเองก็ควร ออกกำลังกาย อวัยวะที่อ่อนแรงลงไป เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า สะโพก เอว หรือกล้ามเนื้อต่างๆ

        ผมเป็นตอนเดือนแรกๆ ผมมีอาการที่ข้อเท้าขวา คือ วางเท้าบนพื้น ในท่านั่ง ผมจะยกปลายเท้าขวาขึ้นมาได้เพียงครึ่งเดียวของเท้าซ้าย มองไปก็สังเวชตัวเอง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเป็นแบบนี้ได้ แต่ก็สู้ครับ ตอนนี้ ก็กลับมายกได้เท่าๆ กันแล้ว :0) คือร่างกายมันก็ช่วยรักษาตัวเองครับ ขอให้ใจสู้ครับ

       ก่อนหาย ที่ข้อเท้า ผมเอาน้ำหนักราวๆ 1 กิโลกรัมวางที่ด้านบนเท้า แล้วยกแบบเพาะกาย 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 ครั้ง สลับ 2 ข้าง แม้ว่าข้างซ้ายจะปกติ แต่เราทำไปด้วยกันครับ  การที่ข้างปกติออกกำลังไปด้วยช่วยให้เรา แข็งแรง เอาพลังมาช่วยเวลาเรา เป๋ หรือ ทรงตัวไม่ดีได้อีกด้วยจริงไหม?

     หลังจากนั้น กำลังที่ขาผมกลับมาเร็วขึ้น ผมจึงเชื่อว่า ท่าเพาะกายต่างๆ หากเอามาใช้ในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ครับ

      จริงๆแล้วเคยเจอหมอนวดไทย เขาแนะว่า มาหาเขาน่าจะหายได้ เพราะยังหนุ่ม แต่ผมขอลองรักษาตัวเองกอน ก็ดีมาเรื่อยๆ แต่ใครมีหมอดีก็ไปหาหมอก่อนครับ ของผมทำแล้วดีขึ้นเรื่อยๆ ก็แล้วแต่ครับ

      จากหลักวิชาฝังเข็ม เขาว่า การที่เป็นโรคใดๆ มาจาก เลือดอุดตัน กับไม่ไหวเวียน หากทำให้เลือดไหลเวียนมาถึงได้ ก็จะหายได้ การเพาะกายก็เช่นกันครับ เวลาเราหัด มันก็

            1.ลมปราณ คือให้เพ่งที่กล้ามเนื้อนั้นๆ หายใจออกตอนออกแรง
            2. เมื่อออกแรง กล้ามเนื้อบริเวณนั้นก็มีฉีกขาด เลือดย่อมไหลเวียน มีการใช้พลังงาน
            3.กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น เพราะการซ่อมแซมตัวเองของกล้ามเนื้อนั้นๆ
         
      มันก็เข้าทั้ง ลมปราณ และ ฝังเข็มครับ ผมเชื่อส่วนตัวว่า ผมจะหายดีได้ครับ รอฟังผลการฝึกกันต่อไปครับผม

   หมายเหตุ: ให้ไว้เป็นวิทยาทาน  สมุนไพรเถาวัลย์เปรียง แบบแค็ปซูลก็ได้ ลองหามารับประทานครับ ช่วยเรื่องการเจ็บ ของหลังส่วนล่างโดยตรง โดยไม่ระคายกระเพาะเหมือนยาของฝรั่ง อาจมีผลให้ท้องผูก เมื่อไรท้องผูกให้หยุดกิน สัก 4-5 วันครับ กิน 1 ครั้งอาจอยู่ได้ 2-3 วันเลย แล้วยังมีผลในการเข้าไปช่วยรักษาด้วยไม่ได้แก้ปวดเฉยๆ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, February 4, 2015

บทความที่ 15: วิชาลมปราณ สำหรับการป้องกันตัวเองจากสิ่งชั่วร้าย และ สิ่งรบกวนจากภายนอก

สวัสดีครับ

  วันนี้ก็ขอนำหลักวิชาลมปราณแบบโยคะอีกตัวหนึ่ง มาเผยแผ่ให้รู้จักกันครับ มาจากตำราลมปราณแบบโบราณที่น่าเชือถือเล่มหนึ่งอายุน่าจะ 50 ปีขึ้น ซึ่งมีการพูดถึง โยคะ ที่มากกว่า อาสนะ แต่มีการสอนวิชาลมปราณของสายโยคะเอาไว้ด้วย โอกาสต่อไปอาจจะรวมเล่ม และเผยแผ่เป็นวิทยาทานกันต่อไป

   วิชาลมปราณนี้ ฝรั่งแปลว่า รังไหม หรือ Cocoon  ผมอ่านก็ฮาครับ เราคนไทยเคยดูหนังจีน เลยแปลเป็น"วิชาลมปราณไหมฟ้า" แซะเลย เพื่อให้ได้ รสชาติ เพราะหนังจีนเรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน หรือเปล่าที่ตัวเอก ฝึกลมปราณวิชาไหมฟ้า นั่นล่ะครับ คนที่ดูเวอร์ชั่นหนังใหญ่ จะจำได้ว่า เกิด เป็นรังไหมรอบๆ ตัวพระเอกเมื่อฝึกสำเร็จ แต่กว่าจะสำเร็จ ต้องมีการถ่ายลมปราณจากหญิงมาชาย โอยสารพัด...

     ไม่น่าเชื่อมันจะมีอยู่จริง เพราะโยคะเขาฝึกวิชานี้กันครับ

     แนวคิดของวิชานี้ก็คือ เราอาจถูกสิ่งไม่ดีเข้ามาครอบงำ มาทำร้าย หรือ บางที สภาพแวดล้อม น่ากังวล น่ารำคาญใจ และ เราก็กระส่ำกระส่าย เพราะต้องระวังตัว มาแนวนี้ครับ ทำให้ โยคีจะฝึกกันไว้เพื่อป้องกันภัย ทั้งจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

      วิธีการฝึกปราณชนิดนี้ หรือ ลมปราณไหมฟ้า

 1.ทำจิตให้มีสมาธิ แล้วค่อยๆ สูดหายใจช้าๆ ลึกๆ  หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออก ท้องแฟ่บ สักพัก
  2. ให้ทำจิตคิดว่า เมื่อหายใจเข้า ปริมาณลมปราณ มหาศาล ได้ไหลเข้าสู่ตัวเรา พร้อมลมหายใจ
 3. เมื่อหายใจออกให้หายใจออกให้สุดจะดีมาก โดยคิดเพิ่มว่าพลังลมปราณที่เข้าไป ไม่ได้ออกมาพร้อม
    ลมหายใจ อ่านดีๆ นะครับ แต่ลมปราณนั้น พุ่งออกไปตาม รูขุมขนนับล้านๆ บนผิวหนังของเรา
   และเกิดเป็นรูปทรง คล้ายรังไหมห่อหุ้มตัวของเราไว้

 จากทฤษฎีเดิมพื้นฐานที่ว่า ปราณมีอยู่จริงและเชื่อฟังจิตของเรา

   เมื่อเป็นดังนี้ รังไหม ในรูปลมปราณก็จะเกิดขึ้น คลุมตัวเราเอาไว้ ้ป้องกันอะไรได้บ้าง
เช่น ขณะที่เรากำลังตกใจ ไม่ไว้ใจ คนแปลกหน้า, กำลังตื่นเต้น, กำลังเครียด, กำลังรู้สึกไม่ดี
รู้สึกหมดพลังเมื่ออยู่ใกล้คนบางคน, รู้สึกแปลกๆ, อ่อนเพลีย และอื่นๆ อีกมากมาย
หรือบางที่ อาจใช้ขณะต้องการทำสมาธิ ท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงดัง ก็อาจจะเดินลมปราณไหมฟ้าไว้ก่อน แล้วปรับจิตไปทำสมาธิ (ทำสมาธิก็ทำสมาธิ อย่าคิดเรื่องปราณนะครับ...ระวัง ถ้ายากนักก็หาที่สงบๆ ทำสมาธิดีกว่า ง่ายดี)

      จากการทดลองเป็นการส่วนตัว พบว่า ปราณไหมฟ้า ดีมากกับอะไรที่ทำให้เรา ตกใจ ตื่นเต้น มันทำให้ความรู้สึกลบๆ หายไปแทบจะในทันที ส่วนท่านจะเอาไปลองแล้วได้ผลอย่างไร ก็ขอให้คอมเม้นท์กันได้นะครับ

     เคล็ดวิชา: หายใจสบายๆ เข้าสุด ออกให้สุด ไม่เร่งร้อน ไม่ผลักดัน สบายๆ  ทำมากน้อยแค่ไหน ก็ทำพอประมาณให้ สบายขึ้นกว่าก่อนทำ ค่อยเลิกครับ ไม่จำเป็นต้องฝึกไปอย่างต่อเนื่อง ตำราไม่บอกไว้ผมเลยไม่กล้าทำครับ :0) ไม่นอกครูดีที่สุดจ้า

     แนวคิดของผม เมื่อลมปราณไหมฟ้า ของโยคะทำให้เราสบายใจ ลดความตระหนกได้แทบจะในทันที จะทำให้ เรามีใจที่ใสขึ้นได้บ่อย อันเป็นผลให้ เราพ้นจาก ความเศร้าหมองต่างๆ ได้เร็วขึ้น ครับผม

  ข้อสังเกต: ยามใดที่เราอารมณ์ไม่ดี ลมหายใจจะผิดปกติในทันที(ส่วนมากไม่ค่อยได้สังเกตุกันเลย)
 แต่ลมหายใจที่มีจังหวะ เช่นเข้าสุด ออกสุด แบบมีสมาธิ มี วิตก วิจาร(ภาษาทางพุทธศาสนา)  คือ เฝ้าติดตามลมหายใจ และ ประคองไว้ได้ จะเปลี่ยน จิตใจเราให้กลับมาปกติได้ ทุกครั้งไป ไม่ผิดไปจากนี้ เป็นกฎตายตัว  แต่ให้ค่อยๆ ทำ อย่าฝืน อย่าเร่ง ทำแบบสบายๆ  ใครมีดวงตาเห็นธรรม ก็นำไปประยุกต์กันเอาเองครับผม :0)



สวัสดีครับ