Thursday, January 29, 2015

บทความตอนที่ 14: ธรรมะ สะกิตใจ: อย่าเพิ่งท้อ ท้อนักก็นับแต้ม บันทึกเก็บไว้


ที่มา: เคยได้ยินไหม คนจำนวนหนึ่ง เคยบ่นให้เราฟังกันว่า ทำดี ไม่เห็นได้ดี
แล้วก็ร่าย บทสวดส่วนตัว อันน่ากลัว นรกจะกินหัว คือว่า...
ทำดี ได้ดี มีที่ไหน... ทำชั่ว ได้ดี มีถมไป

      ซึ่ง ปริมาณของคน ทำให้ความหลากหลายของ เวรกรรม ทั้งดี และ ร้าย เกิด ถี่ยิบเกินไป ไม่ถี่ได้ไง ประชากรโลก ประมาณ 7 พันล้านเข้าไปแล้ว นักคณิตศาสตร์ เขารู้เลยว่า โอกาส จะเกิดอะไร มันจะมากขึ้น ตามหลัก สถิติ ง่ายๆ
พอ คนไม่ดี ได้ดี ให้เห็นเข้า บ่อยๆ คนก็ท้อใจ แต่ ลืมไปว่า ธรรมชาติ ข้อหนึ่งของคนเราคือ มักลืมความดีงามที่คนทำให้ตน และคิดถึงตน มากเกิน จนใครมาทำอะไรไม่ดี จะจำกันข้ามภพทีเดียว พอเจอสิ่งเลวร้ายมากๆ ก็จะ พูดว่า

ทำดี ได้ดี มีที่ไหน... ทำชั่ว ได้ดี มีถมไป

ทุกเจนเนอเรชั่น มันจะคิดได้เอง

       ทว่าพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร ผู้ล่วงลับ ท่านได้ ตรัสไว้ใน หนังสือเล่มเล็ก "ชีวิตนี้สำคัญนัก" เอาไว้ ประมาณนี้ว่า

..เวรกรรม ดี ร้าย ที่ทำมาในอดีตชาตินั้น ไม่สามารถประมาณได้ หลายภพชาติ
มันเหมือนกับการ เขียนหนังสือ ลงไปบนกระดาษแผ่นเดียวซ้ำๆ สักรอบสองรอบ ยังพออ่านได้ แต่พอซ้ำลงไปหลายๆ รอบ สิ่งที่เห็นคือ รอยหมึกที่ทับกัน ยุบยับซับซนอ่านไม่ออก...จึงเป็นของยากของคน ทั่วไป ที่จะรู้ได้ ถึง กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมที่ส่งผลให้เรา ว่ามาจากที่ไหน ตอนไหนอย่างไร ...
ท่านยังตรัสต่อไปว่า

...แม้นว่าคนทั่วไป ไม่สามารถจะเข้าใจความซับซ้อนของกรรมได้ แต่เราก็สามารถรู้ได้ว่า เป็นกรรมดี หรือ ไม่ดี ที่ทำมาในอดีต หรือ อดีตชาติ โดยการ ดูผลของกรรมที่แสดงอยู่ในปัจจุบัน เช่นว่า เห็นคนหนึ่งได้ดี มีความสุข นั่น คือ กรรมดี จากอดีต หรือ อดีตชาติ ย่อมกำลังส่งผลอยู่เป็นแน่แท้... หากเห็นใคร กำลังทุกข์ยาก ลำบาก กาย หรือ ใจ ย่อมมีผลมาจาก กรรมไม่ดีจาก อดีต หรือ อดีตชาติ กำลังส่งผลเป็นแน่แท้...

หมายเหตุ: ข้อความข้างต้น ผมย่อและเรียบเรียงใหม่นะครับ ของจริงต้องอ่านจากพระนิพนธ์ของท่าน...
นั่นคือ แม้ไม่สามารถ สีบสาวกลับไปในอดีต ได้เหมือนพระผู้มีญาณวิเศษ แต่เราสามารถรู้ได้ว่า เขากำลังได้รับผลจากกกรรมดี หรือ กรรมไม่ดี โดยดูที่ขณะปัจจุบันนั่นเองครับ
ดังนั้น ที่ยังยาก ยังเยอะ และมากเป็นพิเศษ กับปัญหาเพียบๆ ก็คือ อย่าคิดว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ ของคิดแบบชาวพุทธแท้ๆ จริงๆ ยอมรับความจริงว่า ถ้าชาติที่แล้วมีสุดประมาณ นับไม่ถ้วน เราคงทำบาปใหญ่ๆ ไว้มาก เพราะแม้ทำบาปไว้มาก ก็ทำดีไว้มากจริงไหม ใครมันจะทำชั่วได้ทุกชาติ เป็นไปไม่ได้ มันต้องปะปนกันไป แต่ กรรมชั่วทีส่งผลน่ะเพราะมันมีอำนาจ มีน้ำหนักมากกว่าครับ กรรมดีในอดีตจึงรั้งไว้ไม่ไหว เมื่อเป็นแบบนี้ทำอย่างไร

     ง่ายที่สุด แต่ทำใจยากหน่อย ภาวนา ครับ คือ ทำสมาธิ คนที่ทุกข์หนักๆ แทบจะเป็นจะตาย เข้าวัดน่ะทำถูกแล้ว คุณทำถูกแล้วครับ เพราะ ผลบุญจากการบำเพ็ญภาวนานั้น มากล้น ครับ และยังได้ เข้ากลุ่มสังคม ไม่เหงาอยู่คนเดียว มีเพื่อน ร่วมบุญเป็นสิบเป็นร้อย บางคน ทำสมาธิไป ไม่กี่วัน เกิด ฉุกคิดได้คำตอบชีวิต แล้วออกไปแก้ไข พลิกชีวิตไปเลย มีเป็น พันๆ ครับ

       ยากขึ้นมาหน่อย ก็ ทาน กับศีล คือ ให้ทาน เช่น ทำบุญต่างๆ ไปเป็นอาสาสมัครต่างๆ คือทำอะไรที่ดี ให้สังคม และตัวเอง และ หาก มีศีล 5 เป็นอย่างน้อย จะดีมาก
รวมแล้วคือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเองครับ

       บางทีทำ ทาน ศีล ภานา แล้วมันยังไม่เห็นภาพ ให้อยู่กับปัจจุบัน ครับ คือ แก้ไขเป็น เปลาะๆ คิดเสียว่า เกมส์ชีวิต มีทีละด่าน แก้ไขได้ นับ 1 แต้ม จากเรื่องเล็กๆ เอาง่ายๆ วันนี้เราทำอะไรดีๆ บ้าง 1 เรื่อง 1 แต้ม ทั้งที่เราทำ และ ทำกุศลอื่นๆ เช่น ช่วยคน ให้อภัยคน หยับจับเล็กๆ น้อยๆ เอาหมด นับ 1 แต้ม
คุณจะเห็นว่าใน 1 วัน เราสะสมแต้มความดีได้มากขึ้น และเกินกว่าที่เราจะคิดจากนั้น ทำทุกวันใน 1 สัปดาห์ แล้วรวมคะแนน จะเห็นว่า ได้แต้มกันเป็นหลายร้อยนะครับ บางคน ได้เป็น 1000 แต้มก็มี

        ความดีพวกนี้ไม่ไปไหนครับ มันอยู่ในดวงจิตของเรา ตายไป มีมากไว้ ไปสวรรค์ครับ นี่ต่ำสุดนะครับ คนที่ท้อมากกว่าเพื่อนๆ บางคนมีแต้มเป็นหลายพัน ต่อสัปดาห์ เพราะคุณเป็นคนแบบนี้ คือ ดีกับคนอื่นมาตลอดชีวิตไงครับ แต่คุณไม่เคยบันทึกว่า ดีเท่าใด อะไร อย่างไร พอมาทุกข์ เพราะกรรมใหญ่ไม่ดีส่งผล คุณเลย เป๋ แต่ลืมไปว่า คุณทำแต้มมามากกว่าคน ทั่วไปมาก สวรรค์เป็นอย่างน้อยรอคุณอยู่ครับ อย่าท้อ ไว้คุณนับได้หลายร้อยแต้มความดี ใน 1 สัปดาห์คุณจะรู้เอง

        1. คนที่ทำดีประจำ ทำมากๆ จะเกิดแรงใจ เออ กู หนู ผม ดิฉัน เป็นคนดีมากคนหนึ่งนี่หว่า นี่นา นี่คะ เออนึกไม่ถึง เรามีที่หมาย สุขคติอยู่แล้วจะ ท้อทำไม เอามาเป็นแรงใจ สู้ชีวิต มีความสุข เริ่มใหม่ กัดไม่ปล่อย เอาว่ะ เอาล่ะนะ เอาค่ะ แบบนี้

         2. คนที่บันทึกแต้มความดีแล้วเห็นน้อยๆ ก็จะได้คิดว่า กรรมหนัก ก็มี ชาตินี้เราก็ คิดแต่เรื่องของเรามานาน จริงๆ ทั้งสัปดาห์ ทำดี แค่ 10 แต้ม นี่กู นี่หนู นี่ผม นี่ดิฉัน ยังไม่เข็ดอีก ต้องเริ่มสะสมแต้ม แล้วเว้ย แล้วครับ แล้วค่ะ แบบนี้
จะยังไง ก็จงอย่าประมาท เพราะ ควรยึด ทาน ศีล ภาวนา ไว้ตลอดนะครับ ขอเป็นแรงใจให้เพื่อนๆ ทุกท่านครับ :0)

     จงทำสิ่งดีๆ ไม่ใช่เอาหน้า แต่เอาแต้มเก็บไว้ดูเอง เวลาท้อ ครับผม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
30 มกราคม พ.ศ.2558

Monday, January 19, 2015

บทความตอนที่ 13: พลังของสมาธิ กับ การใช้ชีวิต

สวัสดีครับ

       เมื่อเรามีการฝึกสมาธิ จะมีสิ่งใดเกิดกับเราบ้าง
ควรปฏิบัติโดยใช้เวลา และ จำนวนครั้งที่มากพอ ถ้าสามารถทำทุกวันจะดีมาก โดยควรกระทำ
ต่อเนื่อง ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น โดยไม่ต้องรีบ ไม่มีความอยาก หากจะพอระลึกบ้าง
ก็ควรจะ ทำสมาธิเพื่อสั่งสม บุญบารมี ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เป็นต้น

1. สมาธิจะทำให้เรา รู้ขอบเขต จะกลายเป็นคนไม่ ตึงเกิน หรือ หย่อนเกิน
2. จะทำให้พบข้อดี ข้อเสีย ของตนเอง ยิ่งขอเสีย จะสังเกต ขึ้นมาเฉยๆ นั่นเพราะ
       มีตัว สติ ที่มากขึ้น และช่วยให้เรา ระลึกได้ และ เริ่มคิดลด สิ่งที่ เสียๆ นั้นออกไปจากตัว
    ของเรา เช่น
            -คนที่ห้องรก จะเริ่มจัดห้อง
            -คนที่ ชอบเบื่อเซ็ง ก็จะดีขึ้น
            -จะเป็นเหมือน น้ำทิพย์ ชโลมใจ ทำให้เริ่มลงมือทำ สิ่งดีๆ ให้กับตัว ในด้านต่างๆ

3. ผู้คนจะดีกับเรา ร้ายมาก จะ ดีขึ้น เฉยๆ จะดีมาก คือ เปลี่ยน เวรกรรม ปัจจุบันได้ ในเรื่องแบบนี้
     จากที่สังเกตมากับตัว การปฏิสัมพันธ์กับคน จะลื่นขึ้น สบายขึ้น แต่ ควรมี หลัก อุเบกขา รองรับด้วย
   คือ เราก็มีกรรมของเรา เขาก็มีกรรมของเขา  สัตว์ทั้งหลายล้วนมีกรรมของตัวเอง  ท่องไว้ครับ คนที่
อารมณ์ร้อน โกรธคนง่าย ท่องไว้ จะลื่นมากๆ ในการพบปะกับคน เนื่องจากสมาธินั้น คนที่ทำใหม่ๆ แม้จะเก่าๆ ก็จะทำให้ใจเรา ไวขึ้นสำหรับบางคน กลายเป็น โกรธไว ไปก็มีครับ


4. คนทำสมาธิ ต้องมีเมตตาธรรม แนะนำ ให้เจริญ พรหมวิหาร 4 ไปด้วย ครับ จะได้ คุมไว้แต่ต้น ขอให้เรามี เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา คุมจิตใจไว้ ตั้งใจว่า จะทำให้ดีที่สุด ไม่ทิ้ง พรหมวิหาร 4 รับรอง ไม่มีการฟุ้งเฟ้อ หรือกลายเป็นคน จิตไว เพราะ มันมีพื้นฐาน มาจาก ก่อนจะทำอะไร มีเมตตา มี กรุณา มีมุฑิตา มีอุเบกขา แล้วหรือยัง  พอสติคิดได้ เราก็จะหยุด และ ไม่กระทำอะไร รุนแรง

    ทำไมคนทำสมาธิต้องมี พรหมวิหาร 4 นั่นเพราะ พอคุณ โลภ โกรธ หลง แรงๆ เข้าที่ มันจะเกิดคำถาม ทำไมทำสมาธิแล้วยังมีเรืองแบบนี้ แรงๆ  หากเป็นกรรมของเราจะต้องเจอ แบบนี้ทำอย่างไรได้ครับ เจอก็ต้องเจอ แต่ หลายๆ ครั้งในช่วงแรก หากเราเอา พรหมวิหาร 4 มาจับ หนักจะกลายเป็นเบา ทุกอย่างจะลดลงไปมาก เราก็จะได้ ไม่มีข้อ ฟุ้งซ่าน สงสัย ทำให้องค์สมาธิเสีย คือ นิวรณ์ นั่นเอง

     มีผู้คนมากมาย ที่รู้กันว่า รู้จักธรรมะดีๆ แต่ ผมไปอ่านเจอใน ส่วนของทางวิปัสนา จะมีปัญญาแบ่งออกไปหลายแบบ เช่น ปัญญาจาการฟัง ปัญญาจากการคิดนึกเอา และ ปัญญาจากการรู้แล้วเข้าใจจริงๆ ยกตัวอย่าง เรามีปัญญาเรื่อง พรหมวิหาร 4 ปกติเราจะคิดว่าเรารู้แล้ว ก็จบ รู้มากกว่าคนอื่นแล้ว มีธรรมะแล้ว
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ นะครับ

        คือ มันอาจเป็นพรหมวิหาร 4 จากการฟังเขามา
              มันอาจเป็นพรหมวิหาร 4 แบบนึกคิดว่า แบบนั้นแบบนี้ หรือ หลงคิดว่า เราทำครบ ทำถูกแล้ว
               มันอาจเป็นปัญญาแท้ๆ คือ เข้าใจ และ ทำพรหมวิหาร 4 จริง

   หากจะให้เห็นภาพก็   เราฟังวิธีเลี้ยงลูกด้วยความรัก เราแค่รู้ ต่อมา เราเลี้ยงลูกของเราจริงๆ เราเชื่อว่า เรารักลูกมากแล้ว ทำครบตามหลักวิชา  แต่ปัญญาสุดท้ายคือ ความรักของแม่ ที่ แม่ทั่วโลกลึกซึ้งต่างกันและเขาก็อาจเลี้ยงลูกได้ดีกว่าเราแบบนี้ คือ ของเขาแท้กว่า ดีกว่าแบบนี้

  การศึกษาธรรมะจึงควรทำให้ได้จริงๆ ครับ ทำจนเป็นนิสัย นั่นล่ะผมว่านะ นานปีเข้าทำได้จริงมันเป็นนิสัยได้จริงๆ นะครับ นี่ล่ะที่คนเลิกปฏิบัติธรรมไป หลายคน เพราะ ใช้ธรรมะครบแล้ว แต่ มันไม่ได้ใช้จริงๆ สักข้อนั่นเอง...

      บางคนยิ่งทำสมาธิ ยิ่งดี บางคนไม่เป็นแบบนั้น เหมือน มีมารมาขวาง ต้องแก้ด้วย 2 ข้อคือ

        1. กัดไม่ปล่อย   บอกแล้วว่า อุเบกขา คือ เราก็มีกรรมของเรา   เขาก็มีกรรมของเขา สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง   เราตามทันรู้ทัน จะปฏิบัติสมาธิ อย่างตั้งใจ (ไม่เครียด ไม่อยาก ทำตามคำพระท่านสอนพอ) หากจะได้ มันได้เอง หากไม่ได้อะไรเลยจนตาย ก็ยังได้ อานิสงส์ จากการบำเพ็ญสมาธิ ล่ะ ไม่มีอะไรที่ทำเสียไปเปล่าๆ  เอาเป็นว่า ไม่เลิกปฏิบัติสมาธิ ตลอดชีวิต ทำให้ถูกแบบแผน ตามปรากฎในพระไตรปิฏก เป็นพอ มีครูแนะนำ ที่ถูกต้อง ยิ่งดี หากเป็น สมถภาวนา มี 40 กอง หรือ วิธี ในการทำสมาธิ ก็หาที่ถูกจริตกับตัว อย่างผม ใช้ อานาปานสติ แบบอื่นๆ เช่น การเจริญ อุเบกขา นี่ก็ใช่ และอื่นๆ อีกมากมาย
เพียงแต่ว่า ท่านว่า ยังแยกออกไป เป็น ชนิดที่ทำแล้วได้ ฌาน 4 กับ ไม่ได้ ก็มีครับ อ่านศึกษากันดีๆ บางคนเน้นไปทาง วิปัสนา อันนี้ ใช้ฌาน 1 หรือ ไม่ใช้ยังได้ แบบนี้ ลองศึกษากันดูครับ

         2. มีพรหมวิหาร 4

เอ้าแถมอีกข้อ

          3. จงคิดดี พูดดี และ ทำดี

    สมเด็จพระสังฆราช พระญาณสังวร ท่านตรัสว่า หากทำข้อ 3. ได้ดี จะทำให้พ้น บาปกรรม ที่ตามจะเอาคืนจากเราได้ในชาติปัจจุบัน ขณะที่เราจะ คิดดี พูดดี ทำดี เป็นนิสัย ผมเอามาจาก หนังสือเล่มเล็กๆ "ชีวิตนี้สั้นนัก" ที่ท่านทรงนิพนธ์เอาไว้ หรือในเล่มเดียวกัน การบริกรรม พุทโธๆๆ ตลอดเวลา ก็ช่วยได้ จากหนักเป็นเบา

     แน่ล่ะ การจะทำแบบนั้นได้ ก็ควรสร้างมงคลให้ชีวิต ดังนั้น เราควร ศึกษาว่า มงคล 38 ประการนั้นทำอย่างไร อีกด้วย

  จำไว้นะครับ คนที่เก่งทางเหตุผลมากๆ คิดลึกๆ นี่ ข้อ 3. คิดดี พูดดี ทำดี นี่ ทำได้ยากนะครับ เพราะเรามันพวกช่างคิด ทำให้ บางที คิดเยอะ จน คิดดี เป็น คิดเกินดีไป ระวัง แต่หากทำได้ ชีวิต เปลี่ยน ทันที

   
         5.โชคเล็กใหญ่ จะถูกดึงดูดเข้าหาตัว ให้ทำสมาธิ สม่ำเสมอ จะดี จะร้าย มีสมาธิเป็นเพื่อน คุณจะเห็นเอง

         6. สมาธิ ทำให้สุขภาพดีขึ้น เรามักจะ หายใจเข้า ลึกไปถึงใต้สะดือ หายใจลึกๆ ช้าๆ บางคนมารู้ตัวว่าหายใจไม่เต็มปอด มาตลอดชีวิต จากสมาธินี่เอง ในทางสมาธิแบบสมถภาวนา อาจก่อให้เกิด องค์สมาธิ ฌาน อภิญญา กับคนที่ปฏิบัติถูกทาง เอาชนะนิวรณ์ได้ และ ในทาง วิปัสนา ยังอาจทำให้เราเข้าสู่เขตนิพพานอีกด้วย แล้วแต่จะปฏิบัติ แบบ สมถภาวนา หรือ วิปัสนภาวนา

       อย่างไรก็ตาม หากเราศึกษาเรื่อง การรักษาด้วยลมปราณ หรือ การฝึกพลังลมปราณ เราจะพบว่า มีเรื่องของ จักระ เข้ามาช่วยอธิบาย ว่าทำไมทำสมาธิแล้ว แข็งแรง นั่นเพราะ มีจักระอย่างน้อย 2 ดวงที่เกี่ยข้อง นั่นคือ

          1.จักรสะดือ   2. จักรม้าม

คำเตือน:

     ห้ามเอาไปฝึกตรงๆ โดยคิดประจุพลังปราณ ไปยังจักรใดจักรหนึ่ง ที่ผมยกตัวอย่างมา โดยไม่ได้ทำสมาธิ แล้วเดินปราณ ตามที่ตัวเองคิด อย่าเด็ดขาดนะครับ รวมทั้งการฝึกชำระล้างและประจุพลังในจักระ ตัวอื่นๆ ด้วย ถ้าเป็นตำราที่โอเค มีอาจารย์น่าเชื่อถือ ก็โอเค แต่หากไปอ่านในเว็บมา หาที่มาไม่ได้ อย่าไปฝึกเองเด็ดขาดนะครับ
       ในสายของ พลังปราณ เชื่อกันว่า ปราณ จะฟังจิตของเรา ดังนั้น หากเราไปคิดฝึกตรงๆ ต้องมีครู ที่รู้เรื่องนี้ครับ แต่การทำสมาธิเราไม่ได้คิดถึงปราณเราคิดถึงเรื่อง สมาธิเช่นกำหนดตามลมหายใจ แบบนี้ เราไม่ได้ไปสั่งปราณตรงๆ ไม่เกี่ยวกัน เป็น ภาษาที่ทางธรรมเรียกว่า วิตก วิจาร คือ เครื่องมือยกจิตเข้าสู่สมาธิ  และยังประคองสมาธิไว้ได้ แบบนี้ เพียงแต่พอทำไปนานๆ ปราณมันจัดการของมันเอง เท่านั้น

        ทางพุทธเราไม่ได้เน้นเรื่องปราณ ฝึกพลัง แต่ทางอินเดีย จีน เขาจะมีฝึกโดยตรงครับ ดังพระท่านว่า ท่านสอนเราเพียงใบไม้หยิบมือเดียว ที่พาให้บรรลุธรรม ได้นิพพานได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องสอนเรื่องพลังปราณ นั่นเอง

       ตามที่ผมพอศึกษามาบ้าง จะพบว่า การฝึกปราณของทางอินเดีย เขาต้องทำสมาธิ นำก่อนนะครับ ดังนั้น จะยังไงต้องมีสมาธินำก่อนเสมอ 

                 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


      โดยปกติ จักระ 2 ตัวนี้ จะทำงานด้วยกันโดยอัตโนมัติ นั่นคือ จักรสะดือ ดี จักรม้ามจะดีด้วย โดยจักรสะดือ เป็นตัวรวบรวมปราณ และส่งต่อให้จักรม้าม เป็นตัวย่อยพลัง แล้วกระจาย ต่อไปยัง ยังจักระหลักๆ ที่เหลือจนครบ ดังนั้น จักรใดพลังเสื่อม ไม่สมบูรณ์ ก็ได้รับการชำระล้างไปในตัว ขณะทำสมาธิ เพราะเราทำกัน นานเช่น 30 - 60 นาที นั่นเอง

       เรื่องนี้ไม่มีการเชื่อมโยงกัน แต่ผม ศึกษามาพอสมควรก็เห็นว่า จุดนี้เชื่อมโยง การทำสมาธิเข้ากับการฝึกลมปราณได้ อย่างลงตัว

       ขอสังเกตุ: เรื่องจักระ และ ลมปราณ มีอยู่ทั่วโลก จักระหลักๆ ก็คล้ายกัน เกือบจะเหมือนกันด้วยซ้ำ ทีแรกผมคิดว่า มีแค่ในอินเดีย ที่ไหนได้ อียิปต์ก็มี และทีอื่นๆ ขนาดว่า เขาคิดว่า หินปิระมิดก้อนใหญ่ ที่ยกขึ้นไว้บนที่สูงๆ ได้นั้น มาจากพลังลมปราณนี่เอง ลองหาอ่านกันครับ อันนี้่อ่านผ่านๆ ตา

        นักกีฬาก็เช่นกัน เขาอาจจะไม่ได้เจตนา หายใจเข้าลึกไปถึงสะดือ แต่ การหายใจในการกีฬา สังเกตดีๆ มันก็หายใจเต็มปอดนั่นล่ะ มันก็คล้ายๆ กัน ยังไง จักรสะดือต้องได้รับปราณ แน่นอน

  และยังมี ประโยชน์อีกมากหลาย ต้องทำเองจึงจะทราบครับ

     อ้อ แถมอีกข้อ

     7. คนที่ได้ สมาธิขั้นต้นๆ เช่น อุปจราสมาธิ ก็ยังพบว่า มันไม่ใช่สุข แบบที่เราเคยเห็นในโลก นี่ยังห่างจากฌานตั้งเยอะนะครับ แล้วก็เข้าสู่โลกของฌาน ในระดับ อัปปมาสมาธิ ล่ะ มันจะขนาดไหน โลกที่คุณสงบเย็น เห็น วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา โลกนี้มีอะไรให้ค้นหาอีกเพียบ ไม่ลองมาค้นหากันบ้างหรือครับ :0)  ยิ่งฌานสูงขึ้นไป จะยิ่งละเอียดขนาดไหนแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เป็นชาวพุทธ ก็ต้องไม่ลืม
วิปัสนานะครับ เพราะ นิพพาน คือ สุขที่แท้จริง ครับ ลองต่อยอดกันเองครับ

 เอาล่ะวันนี้เท่านี้กันก่อน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)


   

       
     


Monday, January 12, 2015

บทความตอนที่ 12: กลวิธีในการออกจากทุกข์ ขั้นต้น แบบสมาธิและแบบโยคะ

สวัสดีครับ

       ข้อสังเกตุ ในการเขียนบทความนี้คือ มีอยู่ระยะหนึ่งมีปัญหารบกวนจิตใจผมมาก จนน่ารำคาญใจ ยังไงก็ถอนไม่ออก ปกติจะใช้การออกกำลังกายเข้าช่วย แต่การทำงานตอนนี้ ไม่มีเวลาแล้วครับ ตื่นไปทำงานราวๆ 6 โมงเช้ากลับบ้าน เกือบ 2 ทุ่ม ชีวิตเปลี่ยนขนาดนี้ งงสิครับ

        แต่แล้ววันหนึ่ง ผมเพียงได้ดูหนังที่ชอบ แค่ต้นๆ เรื่อง ทุกข์ก็คลาย เปิดความสุข แบบสมัยก่อนกลับมาเฉยๆ และเป็นอยู่แบบนั้น นานทั้งวัน ก็ตกใจว่า เพราะอะไร

       ผมนั่งคิดก็นึกได้ระยะนี้ เรา นั่งสมาธิบ่อย ไม่ใช่เพราะ เพื่อหนีทุกข์นะครับ ผมทำมาก่อน ชีวิตเปลี่ยนในปี สองปีนี้ นานแล้ว เพราะผมคิดว่า

       ชีวิตนี้ เราได้เกิดเป็นคน นี่ ถือว่ามีบุญนะ แต่ก็ใช้ บุญกุศลไปเยอะนะ ไม่งั้นไม่ได้เกิดเป็นคนหรอก ยังประมาทอีก ชาติหน้า กุศลเหลือเท่าใดหว่า ใครกุศลมาก ยังมีอีกเป็นกระบุง ก็วางใจ แล้วคนที่น้อยจนปริ่มๆ ล่ะ จะทำไง

      มัวหลงระเริง แล้ว ชาติหน้าทำไงล่ะเนี่ย

      เคยได้ยินแนวคิดเรื่องกุศล ผลบุญ กฎแห่งกรรมนำเกิด แล้ว หนาวสะท้าน เชื่อไหม หากเวรกรรมมันตามทัน เป็นเทวดาอยู่ดีๆ หมดบุญ ลงมาเกิดเป็น หมา ก็เป็นได้ แล้วยังประมาทอีกหรือ

      ผมจึงทำสมาธิเป็นกิจวัตร เพราะ

1.ไม่ต้องลงทุน จัดเตรียมมาก
 2. ทำได้ในห้องพัก หรือ ทุกที่
  3. ทำบ่อยๆ พระท่านว่า ให้ผลมาก มีอานิสงส์มาก

  ผมต้องมาขึ้นรถก่อน 7 โมงเช้า เวลาตักบาตร ไม่มีครับ เสาร์อาทิตย์เอาไว้พักจริงๆ เพราะ เดินทางนี่ วันละ ราวๆ 3 ชั่วโมงรวมไปกลับ ชีวิตนั่งบนรถ เวลาว่างแทบไม่มี มีก็เอาไว้พักผ่อนแล้วครับ การนั่งสมาธิจึงเป็น อีกทางที่เหลืออยู่ ที่เราคว้าไว้ได้

     ส่วนการไม่เพิ่มกุศลเลย ไม่มีสำหรับผม เพราะอย่างที่บอก กลัวว่า ทุนชาติหน้าเหลือน้อยครับ เป็นคนดีๆ ไปเกิดเป็นหมา นี่ เซ็ง สมัยนี้เขาเลี้ยงดี มีเสริมนั่นนี่ กลายเป็น สุนัขอายุยืนไม่ตายง่ายๆ อีก เจ้าของเขาหวังดี แต่ หากเรารู้ว่าจะอยู่เป็น สุนัขนานๆ คนอย่างเราจะเอาหรือ จริงไหม

     และสำคัญ สมาธิ หากเราประคองดี ประคองเป็น มันประกัน ที่ไป หรือ สุขคติให้เราได้ ตามคำพระท่านว่า เช่น หากได้ ฌานขั้นต้นๆ ก็ พรหมขั้นต้นๆ ครับ อย่าเพิ่งว่า ผมเพ้อเจ้อ นี่มีอยู่ในพระไตรปิฏกน่ะครับ ผมศรัทธาว่ามีจริงๆ  สวรรค์ นรก มีจริง เทวดา พรหม ก็ต้องมีจริง ไม่งั้น คนกลับชาติมาเกิดจะมีได้ไงจริงไหม

        สมาธิขั้นต้น ฌาน 1 ก็ได้เป็น พรหมแล้วนะครับ เหมือนไม่มีอะไร เพราะพรหมมีหลายระดับ แต่พรหม สูงกว่า เทวดา เราข้ามไปได้ ตั้ง 6 ชั้นเลยนะครับ ตั้งแต่ชั้นเทวดา ฉกามาพจร ไปจน ปรนิมมิตตวะสวัสดี ข้ามไปเลย 6 ช้ัน เป็นพรหมเลย แล้วไม่ดีตรงไหน?

        บางคนว่า ไม่มีจริงหรอก ผมขอเถียง เอาง่ายๆ คนกลับชาติมาเกิด มีจริงนะครับ ฝรั่งเอาไปวิจัยกันโครมๆ เราคนเอเชีย เจ้าขององค์ความรู้ สวรรค์ นรกๆ แท้ๆ กระแดะ ทำเป็นไม่เชื่อ แซะงั้น บ้าจริงๆ

       เอ้ากลับเข้าเรื่อง พบว่า เพราะทำสมาธินี่เอง แม้จะยังไปไม่ถึงไหน ตามกำลังสติปัญญาที่ตอนนี้ยังน้อยๆ แต่ก็ได้อะไรมาพอควร สิ่งที่พบจากการทำสมาธิต่อเนื่อง สักราวๆ ครึ่งปี ถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น แบบยังไม่ได้ ฌานนะครับ มีดังนี้

   1. อาจเปลี่ยน ร้ายให้กลายเป็นดี ผมไม่ขอ โม้ แต่ต้องลองทำเอง นี่ล่ะผลจากที่พระท่านว่า ทำแล้วให้ผลมาก อานิสงค์มาก

   2. ผู้คนกลับจากเฉยๆ เป็นรักเรา จากรัก จะรักมากขึ้น จากเกลียด จะเว้นเรา

  3. สุขภาพดี เช่น นอนหลับสนิทขึ้น ร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้น ช่วยให้อาการ เจ็บป่วย หายเร็วกว่าปกติ
      ตามแนวคิดการรักษาด้วยปราณ หรือ ชี่ จะรับรองไว้ว่า ร่างกายประกอบขึ้น ด้วย จิต กายทิพย์ กายหยาบ และการทำสมาธิจะรักษากับเพิ่มพลังกายทิพย์โดยตรง เมื่อกายทิพย์สดชื่น กายหยาบก็จะสดชื่น อาการเครียด นอนไม่หลับ ความดัน อะไรๆ จะทุเลาและหายได้ ยกเว้นกรณี เป็น โรคจากกรรมเก่า อันนี้ อาจเพียงทุเลาครับ

  4. มีพลังผลักดัน ที่ดันให้เราทำให้ชีวิตของเราให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ สังเกตได้ง่ายที่สุดจาก ห้องพักของคุณ ลองทำจะรู้เอง

  5.ทำสมาธิได้ง่ายขึ้นๆ ก้าวหน้าขึ้น

  6. มีโอกาสต่อยอดศาสตร์ทางจิต ได้ไปเรื่อยๆ

  เอาเท่านี้ก่อนครับ

     น่าจะเป็นสมาธินี่ล่ะครับ เพียงแต่ เราทำไว้มาก แต่ไม่รู้ตัว พอจิตมันไปจับกับสิ่งที่ชอบ พลังสมาธิก็อาจจะเคลื่อนไหว ไปทางนั้น สร้างความสุขได้อย่างประหลาด เพราะพลังสมาธิมากกว่าคนปกติ คือ ยังเป็นสมาธิขั้นต่ำมากๆ เกิดสุขจากการได้ทำตามความพอใจ ตัณหา นั่นเอง ทว่าในระดับฌาน จะสุขอีกแบบครับ มากกว่านี้เป็นพันๆเท่า

     แต่เพียงนี้มันก็สร้างความ ตะลึงให้เราไม่น้อย ผมไม่ได้สุขใจแบบนี้มาได้ราวๆ 8-9 เดือนแล้ว หลังเกิดอาการเจ็บหลัง และ ต้องย้ายที่ทำงาน

      มันยิ่งทำให้เรามีศรัทธา เพราะขนาดสมาธิชั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เจือตัณหา ยังให้เรากลับเป็นสุขได้ แม้จะเพียงราวๆ 24 ชั่วโมง แต่มันทำให้เราเกิดพลังใจ ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีจริงๆ ครับ

      เราจึงมั่นใจว่า ทำสมาธิแต่ยังอยู่ในโลกวัตถุได้ครับ

     ดังนั้นใครอยากจะมีสุข ที่หวนคืน ก็จงค่อยๆ ทำสมาธิ สักวันละ 10 นาที เพิ่มไปเรื่อย จนนั่งได้ ราวๆ 40 นาทีนี่ผมถือว่าผ่าน ทำต่อไปสักหลายเดือน คุณก็จะได้สุขของคุณคืนมาแบบผม และหากมีวาสนาก็เอาให้ได้ ฌาน แล้วทำวิปัสนาด้วย เอาให้ถึง โสดาบัน นิพพานได้ จะดีมาก

      อย่ามองสมาธิเป็นเรื่องของพระครับ เพราะสมัยโบราณ คนทำกันได้เยอะแยะครับ
(แต่วิปัสนา นี่ของพระจริงๆ เพราะมีเกิดได้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่มีครับ)

   เอ้าอีกทางของฝั่งโยคะ ลองวิธีนี้ ครับ

แบบที่หนึ่ง ส่งความสุข ความปรารถนาดีให้ตัวเอง ระดับอณูเซลล์
โยคีโบราณ เขาทำแบบนี้

 1.นั่งทำสมาธิ เช่นกำหนดลมหายใจ เข้าออก เข้าท้องป่อง ออกท้องแฟบ ช้าๆ ให้ได้ สัก 30 นาทีขึ้นไป เน้นว่ามีสมาธิจริงๆ
  2. จากกำลังสมาธิที่เกิดในข้อ 1. ให้ หายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ ช้าๆ ตอนหายใจออกให้ คิดว่า ส่งพลังปราณ แห่งความสุข ความปรารถนาดี ไปทุกอณูเซลล์ ของคุณ ขอให้เซลล์เป็นสุข มีพลัง กระชุ่มกระชวย ให้ทำไปเรื่อยๆ ไม่มีผลเสียครับ

  เชื่อกันว่า จะทำให้ ร่างกายสดชื่นมีความสุข โรคต่างๆ จะลดลงครับ สร้างสุขในขณะที่ทำได้ดีทีเดียว มีวิธีฝึกพลังจิตแบบนี้อีกเป็นสิบๆ วิธี วันหน้าจะเอามาถ่ายทอดกันครับ

    แต่จำไว้ว่า ให้ทำในขณะที่จิตเป็นสมาธิเสมอ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Thursday, January 1, 2015

บทความตอนที่ 11: คำสอนในการดำเนินชีวิตของคนอายุยังไม่เกิน 30 ปี ใช้แล้วดี ใช้แล้วสบาย

สวัสดีครับ

   ปัจจุบัน ผมอายุก็ 40 ต้นๆ แล้วครับ แม้ไม่ประสบความสำเร็จอะไรมาก แต่ผมก็ถูกรางวัลที่หนึ่ง คือรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร ตัวตนแท้ๆ นะครับ ไม่ใช่หลอกตัวเอง และตัวผมตอนเริ่มคิดได้ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนคือสมัยเรียน ป.ตรี กับตัวผมตอนนี้ คือคน คนเดียวกัน ไม่เปลี่ยนแปลง มีจุดยืนที่ดี และจุดยืนนี้ไม่เคยทำให้ใครต้องเดือดร้อน แบบนี้ดีไหม? และยังเป็นคน อ่อนน้อม ถ่อมตนเหมือนเดิม ผมว่าผมภูมิใจนะครับ

    ผมจึงอยากแบ่งปันสิ่งที่ผมได้พบมา และวิธีคิดที่ทำให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้เป็นอย่างดีให้น้อง ๆได้อ่านกัน อ้อ ไม่จำเป็นต้องเอาไปใช้นะครับ ตามสบาย เพราะมันคือ กรรมของแต่ละคน ทำได้ได้ดี ครับ ทำชั่วได้ชั่ว กฎนี้เป็นอมตะ และไม่เคยเปลี่ยนแปลง :0)

      ในช่วงที่เรียน ปริญญาตรี ผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้เรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ได้พบ คนหลายแบบ คือ คนไทยเรียนในไทย คนไทยเรียนจบจากต่างประเทศ คนต่างชาติ นานาชาติ ผมได้ประสบการณ์ดี ๆจากที่นี่มากมาย นั่นคือ การอยู่กับคนไทยด้วยกัน และ การอยู่กับคนต่างประเทศ แบบสันติและสงบสุข ครับ

     กับคนไทยด้วยกันคงไม่เท่าใดอายุช่วงนี้ หากจิตใจตั้งไว้ดีแต่ต้น จะอะไรก็พอจะผ่านไปได้ ได้รู้ว่า เราไม่ใช่คนที่ โกรธแล้วพาลคนอื่น ตัวจริง เพราะเคยทำแบบนั้นแต่ไปเจอคนที่แรงกว่าเรา เออ งั้นเราคงไม่ใช่ ไปเจอคนที่แรงกว่าเรา เรายังแรงตอบ เราหยุด มันไม่หยุด แล้วเราจะเรียนจบไหม แบบนี้ พอดีผมคิดถึงอนาคตมากกว่า การเอาชนะ ความสะใจ ผมจึงเริ่มแพ้ ,,,แต่มิคาด การแพ้ เมื่อมาเรียนที่กรุงเทพฯนั้น จะช่วยผมในอนาคตไว้ได้หลายครั้ง....

      ผมเคยเป็นคนช่างโลภจะเอาโน่นเอานี่ ทำอะไรต้องได้ประโยชน์กับตัวมาก ๆแต่พอมาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมเจอคนที่โลภกว่า และ ฉลาดในการกวาดประโยชน์เข้าตัวเองมากกว่าผมมาก ผมก็แพ้อีก และก็เหมือนเดิม มันส่งผลให้อนาคตของผมเปลี่ยนไปมาก

     จากคนช่างฝันในความรัก ก็มาอกหักหลายครั้งขณะเรียน ผมแพ้อีกแล้ว แต่การแพ้นี้ดีกับผมในอนาคต

       ผมเป็นคนพูดอะไรไม่คิด พอมาเจอคนในกรุงเทพฯ บางคนทังหยาบคาย ทั้งไม่สนใจใคร และยังเจริญกว่าผม ผมก็แพ้อีก ...

      ตอนเรียนนั้นผมแพ้ต่ออะไรมิอะไรตั้งหลายอย่าง สุขภาพจิตเริ่มเลวทรามลง ในใจผมคิดแบบนี้ในช่วงต้น

                กูเกลียดพวกมึง ไอ้พวกที่กวนตีนกู ทุกคน คนแบบนี้แม่งทำไมยังสบายอยู่ว่า
        กูมีมารยาท เป็นคนดีทำไมโดนพวกมึง เอาเปรียบ....


      นานปีเข้า โดนเข้าบ่อย   โดนกระทำเข้าบ่อยๆ ก็เกิดอาการ เอาคืน พอทำบ่อยๆ ผมก็ถูก กรุงเทพฯกลืนเข้าไปจนหมดตัว แต่ทุกครังที่เอาคืน ก็รู้สึกไม่สบายใจ มันเพราะอะไร จนวันหนึ่งก็คิดได้ ว่า

        นี่ไม่ใช่ตัวกูนี่หว่า   เมื่อก่อนเราไม่เป็นแบบนี้ เออ ทำไมเป็นได้ขนาดนี้

       ก็ได้นึกย้อนกลับไปตั้งแต่ปีแรกที่มาเรียนในกรุงเทพฯ ก็ได้รู้สาเหตุว่า เราโดนกระทำมามาก เลยต้องทำอะไรเหมือนกลไกทางจิตวิทยาในการป้องกันตัวเองของคนเรา นี่ธรรมชาติ ไม่ผิดอะไร ทุกคนมีแต่ เมื่อทำไปโดยไม่มี แก่นสาร มันเลยไม่ พิจิตร คือสวยงาม น่ามอง สำหรับใคร ตัวเราเองนี่ล่ะ

       ดังคำของท่านขงจื่อที่ว่า

         มีแต่แก่นสารไม่มีพิจิตร ก็หยาบกระด้าง
          มีแต่พิจิตรไม่มีแก่นสาร ยิ่งอันตราย

 จริงดังที่ท่านว่าไว้

     คือมึงแรงมา กูแรงไป นี่ตามหลัก เหตุผล ไม่ผิด แต่ มึงแรง กูแรง แล้วเมื่อไรจะได้ ระงับเวร กันล่ะ

   ทุกครั้งที่มีเรื่องราว ผมไม่สบายใจ มันกระทบหมดครับ ตั้งแต่ การนอน การกิน ชีวิต กระทั่งการเรียน
 
    ผมเคยคิดเล่นๆ ตอนโตแล้วว่า หากเราคิดได้ตั้งแต่ เด็กๆ ผมคงไปไกลกว่านี้มาก เพราะโกรธ ก็ต้อง แค้น แค้นก็อยากเอาคืน ใจมันวนเวียน ป้วนเปี้ยน อยู่กับเรื่องนี้ ว่างเป็นคิดๆ แบบนี้ จิตดีๆ หายหมด เพราะไม่ยอมปลง และคุณธรรมความดี ที่ต้องใช้ความดีดึงดูด มันก็ไม่มา ชีวิตจึงตกต่ำ จริงไหม ผมล่ะเสียดาย หากเราคิดได้ เราจะมีชีวิตที่ดีกว่าตอนนี้มากๆ

     ภัยร้ายของการมีอารมณ์ โลภ โกรธ หลง แล้วถอนตัวออกมาไม่ได้ คือ

 ข้อแรก คุณธรรม ความโดดเด่น ที่มี ทักษะต่างๆ จะลดทอนลงไปอย่างมาก ไม่สามารถ แสดง คือ แสดงแล้วทรงไว้ไม่ได้ สรุปคือ ลบบุญ บารมีของตัวเอง

ข้อที่สอง  เป็นนิวเคลียร์ทางลบของจิตใจและวาสนา คือมันจะพาเราเสื่อม จาก หนึ่ง เป็น 2 เป็น 4 แตกความเสื่อมออกไปเรื่อยๆ เกิดความทุกข์ร้อนขึ้นในใจ ไม่จบสิ้น เหมือนระเบิดนิวเคลียร์จริงๆ

 ข้อสาม   จะเป็นวัวควาย ให้ ความโลภ โกรธ หลง สนตะพาย พาไปหาความชั่วอื่นๆ ได้ง่าย

ข้อที่สี่ เมื่อระบายออกนอกไม่พอ ก็จะหวนกลับมาระบายในครอบครัว นั่นล่ะที่เขาว่า วัยรุ่นใจร้อน

ข้อที่ห้า  และอีกมาก พอก่อนครับ

   จนวันหนึ่งมีโอกาส ไปอ่านหนังสือของท่านพระพุทธทาส ท่านว่า ลองใช้หลักการนี้

         อันแรก   มันเป็นอย่างนั้นเอง  คือ

  วัยรุ่น หรือ วัยทำงาน จะเป็นเจ้าเหตุผล เพราะเริ่มโต เริ่มเป็นผู้ใหญ่ ไม่ผิดครับ จะเริ่มถามตัวเอง ว่า ทำไมๆๆๆ  และถามสังคมว่า ทำไมๆๆๆ หากได้คำตอบก็ดีไป หากไม่ได้ก็ขัดใจ แบบนี้ ใครที่มีพ่อแม่ เข้าใจ และตั้งใจอธิบายด้วยใจกว้าง ถือว่าโชคดีมาก เพราะ หากเป็นในทางตรงกันข้าม มันคือ นรกในบ้านครับ ที่ว่า เพราะ ทำให้สัมพันธ์ของคนในบ้าน ไม่เหมือนเดิม จะมีเรื่อง ทะเลาะเบาะแว้ง จนชาชิน
มันเป็นเรื่องของ ทิฐิ มานะ เพียงแต่ ให้ปัญญา ก็แก้ได้ แต่ไม่ยอมแก้กันครับ

    จนวันที่ผมมาอ่านเจอ วลีที่ว่า   มันเป็นอย่างนั้นเอง ผมพ้นจากทุกข์เดี๋ยวนั้นเลย  เพราะ ผมเป็นคนช่างคิด หัวไว มีเหตุผลมาก  ผมเป็นคน ใจกว้าง แต่เกลียดคนใจแคบ นั่นคงไม่กว้างจริงครับ ฮ่ะๆๆๆ ใครที่เถียงแบบมีเหตุผล ผมยอมตามได้ หากเขาถูก แต่ถ้า ไม่มีเหตุผล จะเอาให้ได้ ผมไม่ยอม นั่นคือผมตอนนั้น อ่านดีๆ นะครับ เหตุผลใช่ ผมยอมให้ทุกคน  ผมไม่ใช่คนไม่ยอมคนครับ ไอ้แบบนั้น กูจะเอาๆๆ เหมือนเด็กครับ ไม่ใช่ผม

       ทีนี้ในกรุงเทพฯ มันคงเป็นที่รวม เซียนๆ มั้งครับ เลยทำให้เราเครียดมาก พอคิดตามที่ท่านว่า

       มันเป็นอย่างนั้นเอง เลยใจเบา ลอยทันที  ไอ้นั่น อีนี่ แบบนั้น แบบนี้ ทำไมทำกับเรา แล้วกับคนอื่น ทำไม ๆๆๆๆๆๆๆ  ผมแก้ด้วยวลีเดียว   มันเป็นอย่างนั้นเอง  เรียบร้อยครับ ทุกข์หายทันที 80%
ต่อมา ก็ยังมี ปัญหาที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ...

         มีหลายคนกำลังคิดแน่ๆ เราไม่อะไร แต่มันมาอะไรกับเรา ปัญหาข้อนี้จะแก้ยังไง พอดีมาอ่านเจออีกวลี ของท่านพระพุทธทาส ที่ว่า     กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว


         คือ ช่างหัวมึงนั่นล่ะ แต่ ทางธรรม นะครับ ไม่ได้เจือโกรธ อาฆาต คือ

     1. สังคม แวดวง อะไรประมาณนี้ อยู่ก็เจอไอ้เวรนี่ มากๆ เข้า ก็ กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว แยกตัว หลบหน้า ไม่ยุ่ง ถือว่า เขาทำกรรมมาแบบนั้น ตราบที่กรรมไม่ส่งผล เขาจะหลงระเริง ไว้มันมาตอนไหน เขาจะเข้าใจได้เอง  เราเอง ก็ว่าเขา แต่มานัวเนียเขาไม่เลิก เราก็ต้องออกมา

      2. เราอาฆาต รำคาญ ไม่ให้อภัย ก็ กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว จบครับ

     
  ตอนแรกผมก็ลองเอามาทำ ทุกข์หายไปได้อีก 10% เป็น 90% จนเมื่อมาอ่าน มงคล 38 ประการ ของพระพุทธเจ้า ข้อแรกมาเลยว่า   ไม่คบคนพาล    นี่ล่ะทำให้ผม กระจ่างเลยครับ ทุกหายไปอีก 10% รวมเป็น 100%

       ก่อนจบตรี ผมได้คิดขนาดนี้ ทุกข์ใหม่ จากเรื่องคนจึงน้อยลง หลายคนคงหลงตัวว่า บรรลุอะไรสักอย่างแต่ หารู้ไม่ ยังครับ ยังมีอะไรอีกไกล

       ของใหม่ ลดลง แล้ว ของเก่าในใจล่ะ ที่เป็นสนิมกินใจ จะชำระล้างอย่างไร?...

วันนี้พอเท่านี้ก้อนครับ เดี๋ยวมาต่อตอน 2 กัน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)