Thursday, January 1, 2015

บทความตอนที่ 11: คำสอนในการดำเนินชีวิตของคนอายุยังไม่เกิน 30 ปี ใช้แล้วดี ใช้แล้วสบาย

สวัสดีครับ

   ปัจจุบัน ผมอายุก็ 40 ต้นๆ แล้วครับ แม้ไม่ประสบความสำเร็จอะไรมาก แต่ผมก็ถูกรางวัลที่หนึ่ง คือรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร ตัวตนแท้ๆ นะครับ ไม่ใช่หลอกตัวเอง และตัวผมตอนเริ่มคิดได้ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนคือสมัยเรียน ป.ตรี กับตัวผมตอนนี้ คือคน คนเดียวกัน ไม่เปลี่ยนแปลง มีจุดยืนที่ดี และจุดยืนนี้ไม่เคยทำให้ใครต้องเดือดร้อน แบบนี้ดีไหม? และยังเป็นคน อ่อนน้อม ถ่อมตนเหมือนเดิม ผมว่าผมภูมิใจนะครับ

    ผมจึงอยากแบ่งปันสิ่งที่ผมได้พบมา และวิธีคิดที่ทำให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้เป็นอย่างดีให้น้อง ๆได้อ่านกัน อ้อ ไม่จำเป็นต้องเอาไปใช้นะครับ ตามสบาย เพราะมันคือ กรรมของแต่ละคน ทำได้ได้ดี ครับ ทำชั่วได้ชั่ว กฎนี้เป็นอมตะ และไม่เคยเปลี่ยนแปลง :0)

      ในช่วงที่เรียน ปริญญาตรี ผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้เรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ สอนเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ได้พบ คนหลายแบบ คือ คนไทยเรียนในไทย คนไทยเรียนจบจากต่างประเทศ คนต่างชาติ นานาชาติ ผมได้ประสบการณ์ดี ๆจากที่นี่มากมาย นั่นคือ การอยู่กับคนไทยด้วยกัน และ การอยู่กับคนต่างประเทศ แบบสันติและสงบสุข ครับ

     กับคนไทยด้วยกันคงไม่เท่าใดอายุช่วงนี้ หากจิตใจตั้งไว้ดีแต่ต้น จะอะไรก็พอจะผ่านไปได้ ได้รู้ว่า เราไม่ใช่คนที่ โกรธแล้วพาลคนอื่น ตัวจริง เพราะเคยทำแบบนั้นแต่ไปเจอคนที่แรงกว่าเรา เออ งั้นเราคงไม่ใช่ ไปเจอคนที่แรงกว่าเรา เรายังแรงตอบ เราหยุด มันไม่หยุด แล้วเราจะเรียนจบไหม แบบนี้ พอดีผมคิดถึงอนาคตมากกว่า การเอาชนะ ความสะใจ ผมจึงเริ่มแพ้ ,,,แต่มิคาด การแพ้ เมื่อมาเรียนที่กรุงเทพฯนั้น จะช่วยผมในอนาคตไว้ได้หลายครั้ง....

      ผมเคยเป็นคนช่างโลภจะเอาโน่นเอานี่ ทำอะไรต้องได้ประโยชน์กับตัวมาก ๆแต่พอมาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมเจอคนที่โลภกว่า และ ฉลาดในการกวาดประโยชน์เข้าตัวเองมากกว่าผมมาก ผมก็แพ้อีก และก็เหมือนเดิม มันส่งผลให้อนาคตของผมเปลี่ยนไปมาก

     จากคนช่างฝันในความรัก ก็มาอกหักหลายครั้งขณะเรียน ผมแพ้อีกแล้ว แต่การแพ้นี้ดีกับผมในอนาคต

       ผมเป็นคนพูดอะไรไม่คิด พอมาเจอคนในกรุงเทพฯ บางคนทังหยาบคาย ทั้งไม่สนใจใคร และยังเจริญกว่าผม ผมก็แพ้อีก ...

      ตอนเรียนนั้นผมแพ้ต่ออะไรมิอะไรตั้งหลายอย่าง สุขภาพจิตเริ่มเลวทรามลง ในใจผมคิดแบบนี้ในช่วงต้น

                กูเกลียดพวกมึง ไอ้พวกที่กวนตีนกู ทุกคน คนแบบนี้แม่งทำไมยังสบายอยู่ว่า
        กูมีมารยาท เป็นคนดีทำไมโดนพวกมึง เอาเปรียบ....


      นานปีเข้า โดนเข้าบ่อย   โดนกระทำเข้าบ่อยๆ ก็เกิดอาการ เอาคืน พอทำบ่อยๆ ผมก็ถูก กรุงเทพฯกลืนเข้าไปจนหมดตัว แต่ทุกครังที่เอาคืน ก็รู้สึกไม่สบายใจ มันเพราะอะไร จนวันหนึ่งก็คิดได้ ว่า

        นี่ไม่ใช่ตัวกูนี่หว่า   เมื่อก่อนเราไม่เป็นแบบนี้ เออ ทำไมเป็นได้ขนาดนี้

       ก็ได้นึกย้อนกลับไปตั้งแต่ปีแรกที่มาเรียนในกรุงเทพฯ ก็ได้รู้สาเหตุว่า เราโดนกระทำมามาก เลยต้องทำอะไรเหมือนกลไกทางจิตวิทยาในการป้องกันตัวเองของคนเรา นี่ธรรมชาติ ไม่ผิดอะไร ทุกคนมีแต่ เมื่อทำไปโดยไม่มี แก่นสาร มันเลยไม่ พิจิตร คือสวยงาม น่ามอง สำหรับใคร ตัวเราเองนี่ล่ะ

       ดังคำของท่านขงจื่อที่ว่า

         มีแต่แก่นสารไม่มีพิจิตร ก็หยาบกระด้าง
          มีแต่พิจิตรไม่มีแก่นสาร ยิ่งอันตราย

 จริงดังที่ท่านว่าไว้

     คือมึงแรงมา กูแรงไป นี่ตามหลัก เหตุผล ไม่ผิด แต่ มึงแรง กูแรง แล้วเมื่อไรจะได้ ระงับเวร กันล่ะ

   ทุกครั้งที่มีเรื่องราว ผมไม่สบายใจ มันกระทบหมดครับ ตั้งแต่ การนอน การกิน ชีวิต กระทั่งการเรียน
 
    ผมเคยคิดเล่นๆ ตอนโตแล้วว่า หากเราคิดได้ตั้งแต่ เด็กๆ ผมคงไปไกลกว่านี้มาก เพราะโกรธ ก็ต้อง แค้น แค้นก็อยากเอาคืน ใจมันวนเวียน ป้วนเปี้ยน อยู่กับเรื่องนี้ ว่างเป็นคิดๆ แบบนี้ จิตดีๆ หายหมด เพราะไม่ยอมปลง และคุณธรรมความดี ที่ต้องใช้ความดีดึงดูด มันก็ไม่มา ชีวิตจึงตกต่ำ จริงไหม ผมล่ะเสียดาย หากเราคิดได้ เราจะมีชีวิตที่ดีกว่าตอนนี้มากๆ

     ภัยร้ายของการมีอารมณ์ โลภ โกรธ หลง แล้วถอนตัวออกมาไม่ได้ คือ

 ข้อแรก คุณธรรม ความโดดเด่น ที่มี ทักษะต่างๆ จะลดทอนลงไปอย่างมาก ไม่สามารถ แสดง คือ แสดงแล้วทรงไว้ไม่ได้ สรุปคือ ลบบุญ บารมีของตัวเอง

ข้อที่สอง  เป็นนิวเคลียร์ทางลบของจิตใจและวาสนา คือมันจะพาเราเสื่อม จาก หนึ่ง เป็น 2 เป็น 4 แตกความเสื่อมออกไปเรื่อยๆ เกิดความทุกข์ร้อนขึ้นในใจ ไม่จบสิ้น เหมือนระเบิดนิวเคลียร์จริงๆ

 ข้อสาม   จะเป็นวัวควาย ให้ ความโลภ โกรธ หลง สนตะพาย พาไปหาความชั่วอื่นๆ ได้ง่าย

ข้อที่สี่ เมื่อระบายออกนอกไม่พอ ก็จะหวนกลับมาระบายในครอบครัว นั่นล่ะที่เขาว่า วัยรุ่นใจร้อน

ข้อที่ห้า  และอีกมาก พอก่อนครับ

   จนวันหนึ่งมีโอกาส ไปอ่านหนังสือของท่านพระพุทธทาส ท่านว่า ลองใช้หลักการนี้

         อันแรก   มันเป็นอย่างนั้นเอง  คือ

  วัยรุ่น หรือ วัยทำงาน จะเป็นเจ้าเหตุผล เพราะเริ่มโต เริ่มเป็นผู้ใหญ่ ไม่ผิดครับ จะเริ่มถามตัวเอง ว่า ทำไมๆๆๆ  และถามสังคมว่า ทำไมๆๆๆ หากได้คำตอบก็ดีไป หากไม่ได้ก็ขัดใจ แบบนี้ ใครที่มีพ่อแม่ เข้าใจ และตั้งใจอธิบายด้วยใจกว้าง ถือว่าโชคดีมาก เพราะ หากเป็นในทางตรงกันข้าม มันคือ นรกในบ้านครับ ที่ว่า เพราะ ทำให้สัมพันธ์ของคนในบ้าน ไม่เหมือนเดิม จะมีเรื่อง ทะเลาะเบาะแว้ง จนชาชิน
มันเป็นเรื่องของ ทิฐิ มานะ เพียงแต่ ให้ปัญญา ก็แก้ได้ แต่ไม่ยอมแก้กันครับ

    จนวันที่ผมมาอ่านเจอ วลีที่ว่า   มันเป็นอย่างนั้นเอง ผมพ้นจากทุกข์เดี๋ยวนั้นเลย  เพราะ ผมเป็นคนช่างคิด หัวไว มีเหตุผลมาก  ผมเป็นคน ใจกว้าง แต่เกลียดคนใจแคบ นั่นคงไม่กว้างจริงครับ ฮ่ะๆๆๆ ใครที่เถียงแบบมีเหตุผล ผมยอมตามได้ หากเขาถูก แต่ถ้า ไม่มีเหตุผล จะเอาให้ได้ ผมไม่ยอม นั่นคือผมตอนนั้น อ่านดีๆ นะครับ เหตุผลใช่ ผมยอมให้ทุกคน  ผมไม่ใช่คนไม่ยอมคนครับ ไอ้แบบนั้น กูจะเอาๆๆ เหมือนเด็กครับ ไม่ใช่ผม

       ทีนี้ในกรุงเทพฯ มันคงเป็นที่รวม เซียนๆ มั้งครับ เลยทำให้เราเครียดมาก พอคิดตามที่ท่านว่า

       มันเป็นอย่างนั้นเอง เลยใจเบา ลอยทันที  ไอ้นั่น อีนี่ แบบนั้น แบบนี้ ทำไมทำกับเรา แล้วกับคนอื่น ทำไม ๆๆๆๆๆๆๆ  ผมแก้ด้วยวลีเดียว   มันเป็นอย่างนั้นเอง  เรียบร้อยครับ ทุกข์หายทันที 80%
ต่อมา ก็ยังมี ปัญหาที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ...

         มีหลายคนกำลังคิดแน่ๆ เราไม่อะไร แต่มันมาอะไรกับเรา ปัญหาข้อนี้จะแก้ยังไง พอดีมาอ่านเจออีกวลี ของท่านพระพุทธทาส ที่ว่า     กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว


         คือ ช่างหัวมึงนั่นล่ะ แต่ ทางธรรม นะครับ ไม่ได้เจือโกรธ อาฆาต คือ

     1. สังคม แวดวง อะไรประมาณนี้ อยู่ก็เจอไอ้เวรนี่ มากๆ เข้า ก็ กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว แยกตัว หลบหน้า ไม่ยุ่ง ถือว่า เขาทำกรรมมาแบบนั้น ตราบที่กรรมไม่ส่งผล เขาจะหลงระเริง ไว้มันมาตอนไหน เขาจะเข้าใจได้เอง  เราเอง ก็ว่าเขา แต่มานัวเนียเขาไม่เลิก เราก็ต้องออกมา

      2. เราอาฆาต รำคาญ ไม่ให้อภัย ก็ กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว จบครับ

     
  ตอนแรกผมก็ลองเอามาทำ ทุกข์หายไปได้อีก 10% เป็น 90% จนเมื่อมาอ่าน มงคล 38 ประการ ของพระพุทธเจ้า ข้อแรกมาเลยว่า   ไม่คบคนพาล    นี่ล่ะทำให้ผม กระจ่างเลยครับ ทุกหายไปอีก 10% รวมเป็น 100%

       ก่อนจบตรี ผมได้คิดขนาดนี้ ทุกข์ใหม่ จากเรื่องคนจึงน้อยลง หลายคนคงหลงตัวว่า บรรลุอะไรสักอย่างแต่ หารู้ไม่ ยังครับ ยังมีอะไรอีกไกล

       ของใหม่ ลดลง แล้ว ของเก่าในใจล่ะ ที่เป็นสนิมกินใจ จะชำระล้างอย่างไร?...

วันนี้พอเท่านี้ก้อนครับ เดี๋ยวมาต่อตอน 2 กัน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

No comments:

Post a Comment